วรรณคดีการเมือง (2)
นิทานมุขปาฐะ (ต่อ)
ส่วนฉบับทางอีสาน ที่แพร่หลายคือ “เซียงเมี่ยง” อักษรธรรม ๑ ผูก วัดนามึน ต.ในเมือง อ.เมือง จ. อุบลราชธานี
เซียงเมี่ยงเป็นนิทานเจ้าปัญญาที่มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นสำนวนต่างๆ แล้วแพร่กระจายไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะสำนวนของภาคอีสานนั้นหลายสำนวนแต่พอสรุปเรื่องได้ว่า
กษัตริย์องค์หนึ่งครองเมืองสียุดทิยา มเหสีประสูติพระโอรสแต่โหรทำนายว่าจะเลี้ยงยาก ต้องหาเด็กที่เกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงด้วย จึงไปขอลูกนางคำฮางซึ่งเกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงร่วมกัน โดยให้นางสนมเป็นคนเลี้ยง เมื่อโตขึ้นจึงถวายตัวเป็นมหาดเล็ก และมีช่วงหนึ่งได้ออกบวชแล้วก็สึกออกมารับใช้กษัตริย์ต่อไป ส่วนเนื้อเรื่องที่แสดงถึงความเป็นเจ้าปัญญาของเซียงเมี่ยงนั้น มีเป็นตอนๆ เช่น
เซียงเมี่ยงเลี้ยงน้อง , เซียงเมี่ยงเก็บหมากที่ตกอยู่ , เซียงเมี่ยงกินข้ออ้อยจนเกิดมีปัญญาเหนือกว่าคนอื่น , ลองปัญญากับสมภาร , พนันกับลาวส่งเมี่ยง , เซียงเมี่ยงแต่งงาน (เลือกคู่) ให้ยาดีแก่พระราชา , พระราชาแกงแร้งให้เซียงเมี่ยงกิน , เซียงเมี่ยงหลอกพระยาเลียขี้แร้ง , พระราชาให้นางสนมออกไข่ , เซียงเมี่ยงติเรือนพระราชา , เซียงเมี่ยงติช้างพระยา , พระราชาให้ไปหาปากง่าม , เซียงเมี่ยงหลอกพระยาลงหนองน้ำ , พระราชาให้ไปหาผ้าลายตีนแต้ม , เซียงเมี่ยงหลอกดูก้นสมภาร , พระราชาสั่งให้เซียงเมี่ยงล่วงหน้าไปก่อน , พระราชาสั่งให้มาก่อนไก่ , เซียงเมี่ยงขอที่เท่าแมวดิ้นตาย , เซียงเมี่ยงขอเงินหนึ่งบาท , พระราชาสั่งให้นางสนมไปอุจจาระรดเรือนเซียงเมี่ยง , เจ้าต่างเมืองมาท้าชนหัวล้าน , ภรรยาบอกให้เซียงเมี่ยงหาเงิน , เซียงเมี่ยงทายใจเสนา , เซียงเมี่ยงดมตด , เซียงเมี่ยงทายว่าพระราชาจะตายภายใน ๗ วัน , เซียงเมี่ยงตอบปัญหากับราชครูเมืองตานี , เซียงเมี่ยงแก้มือศึกเมืองปัญจานครที่เข้ามาประชิดเมือง , พระราชาให้เซียงเมี่ยงไปเก็บพริก , เซียงเมี่ยงให้พระราชาดมตด , เซียงเมี่ยงกองก้นรับเสด็จ , เซียงเมี่ยงเอาเปรียบเณรน้อยในเรือ , เณรน้อยแก้แค้นเซียงเมี่ยง , เซียงเมี่ยงชนวัว , เซียงเมี่ยงชนไก่ , เซียงเมี่ยงสานตะกร้าในน้ำ , เซียงเมี่ยงขอลูกสาวเสี่ยว , เซียงเมี่ยงถูกยาเบื่อตาย , กระดูกเซียงเมี่ยงทำพิษแก่แม่หม้าย เป็นต้น (ยังมีอื่นๆ อีก แตกต่างกันบ้าง)”
ในบทความเรื่อง “ศรีปราชญ์อยู่ที่ไหน ศรีธนญชัยอยู่ที่นั้น” (ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2541) “สุจิตต์ วงศ์เทศ” ให้ความเห็นไว้ดังต่อไปนี้
“ศรีธนญชัยเป็นนิทานตลกขบขันที่ได้ชื่อมาจากตัวเอกเจ้าปัญญาแบบฉลาดแกมโกง
นิทานเรื่องศรีธนญชัยแพร่หลายทั่วไปในดินแดนประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่านิทานเรื่องนี้กำเนิดที่ไหน? หรือแพร่หลายกระจายจากดินแดนแห่ง
“ศรีธนญชัยเป็นนิทานตลกขบขันที่ได้ชื่อมาจากตัวเอกเจ้าปัญญาแบบฉลาดแกมโกง
นิทานเรื่องศรีธนญชัยแพร่หลายทั่วไปในดินแดนประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่านิทานเรื่องนี้กำเนิดที่ไหน? หรือแพร่หลายกระจายจากดินแดนแห่ง
ใด ?
เมื่อเอ่ยชื่อ “ศรีธนญชัย” คนไทยทั่วไปจะรู้ทันทีว่าหมายถึงคนมีปฏิภาณเป็นยอด มีไหวพริบเป็นเยี่ยม แต่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเป็นร้อยเล่มเกวียนจนยากที่ใครจะรู้เท่าทัน ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงพวก “ตลกหลวง” ที่ทำหน้าที่ถวายเรื่องราวและการกระทำที่สนุกสนามให้พระเจ้าแผ่นดินสมัยโบราณทรงมีอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์
ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำแหน่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็น “ตลกหลวง” อยู่ด้วย ๒ ชื่อ คือ “นักเทศ” และ “ชันที” บางแห่งเขียนติดกันว่า “นักเทศขันที” แต่หมายถึงเจ้าหนักงาน ๒ คน
ชื่อ “นักเทศ” ชี้ชัดว่าหมายถึงชาวต่างชาติ คือไม่ใช่พวกสยามและน่าจะมีลักษณะพิเศษอยู่ด้วย คือเป็นพวกกะเทย เรื่องนี้มีร่องรอยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นพวกที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาซื้อมาจากอินเดียและเปอร์เซีย ส่วน “ขันที” คงเป็นผู้ชายจีนที่ถูกตอนแล้ว ทั้งพวกนักเทศและขันทีล้วนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ คือ “แขก” กับ “เจ๊ก” ที่ถูกตอนหรือหรือถูกทำให้เป็นกะเทย แล้วถูกซื้อ-ขายเข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และน่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายใน เพราะได้รับสิทธิพิเศษ
น่าสงสัยว่าพวกนักเทศขันทีเหล่านี้แหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมหมายกำหนดการเข้าเฝ้าและระเบียบการต่างๆ ในราชสำนักรวมทั้งถวายเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย
บางทีพวกนักเทศหรือขันทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องศรีธนญชัยก็ได้ เพราะนิทานเรื่องนี้มีแพร่หลายทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งน่าจะมีเค้ามาจากต่างประเทศ
นิทานเรื่องศรีธนญชัยสมัยแรกเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากสืบๆ กันต่อมา ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหนและแพร่หลายไปอย่างไรบ้าง สมัยแรกๆ นี้ยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีผู้เอานิทานเรื่องศรีธนญชัยไปแต่งเป็นร้อยกรอง หรือเป็นกาพย์ กลอนแบบต่างๆ ที่นิยมตามท้องถิ่นนั้นเพื่อขับลำเล่านิทาน หรืออ่านเป็นทำนองให้ชาวบ้านฟัง....................
ในประเทศไทย ทางภาคกลางและภาคใต้เรียกชื่อตัวเองว่า ศรีธนญชัย ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานไม่เรียกว่าศรีธนญชัย แต่เรียกชื่อตัวเอกว่า เชียงเมี่ยง
นิทานเรื่องศรีธนญชัยจงใจกำหนดบุคลิกของกษัตริย์ให้เป็นตัวตลก ต้องยอมจำนนต่อสติปัญญาเล่ห์เหลี่ยมของศรีธนญชัยเสมอ ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ในนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยหลายเรื่อง ต่อมาก็นำไปแต่งเป็นบทละครนอก เช่น ท้าวสามลในเรื่องสังข์ทอง เป็นต้น เหตุที่
ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำแหน่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็น “ตลกหลวง” อยู่ด้วย ๒ ชื่อ คือ “นักเทศ” และ “ชันที” บางแห่งเขียนติดกันว่า “นักเทศขันที” แต่หมายถึงเจ้าหนักงาน ๒ คน
ชื่อ “นักเทศ” ชี้ชัดว่าหมายถึงชาวต่างชาติ คือไม่ใช่พวกสยามและน่าจะมีลักษณะพิเศษอยู่ด้วย คือเป็นพวกกะเทย เรื่องนี้มีร่องรอยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นพวกที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาซื้อมาจากอินเดียและเปอร์เซีย ส่วน “ขันที” คงเป็นผู้ชายจีนที่ถูกตอนแล้ว ทั้งพวกนักเทศและขันทีล้วนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ คือ “แขก” กับ “เจ๊ก” ที่ถูกตอนหรือหรือถูกทำให้เป็นกะเทย แล้วถูกซื้อ-ขายเข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และน่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายใน เพราะได้รับสิทธิพิเศษ
น่าสงสัยว่าพวกนักเทศขันทีเหล่านี้แหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมหมายกำหนดการเข้าเฝ้าและระเบียบการต่างๆ ในราชสำนักรวมทั้งถวายเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย
บางทีพวกนักเทศหรือขันทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องศรีธนญชัยก็ได้ เพราะนิทานเรื่องนี้มีแพร่หลายทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งน่าจะมีเค้ามาจากต่างประเทศ
นิทานเรื่องศรีธนญชัยสมัยแรกเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากสืบๆ กันต่อมา ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหนและแพร่หลายไปอย่างไรบ้าง สมัยแรกๆ นี้ยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีผู้เอานิทานเรื่องศรีธนญชัยไปแต่งเป็นร้อยกรอง หรือเป็นกาพย์ กลอนแบบต่างๆ ที่นิยมตามท้องถิ่นนั้นเพื่อขับลำเล่านิทาน หรืออ่านเป็นทำนองให้ชาวบ้านฟัง....................
ในประเทศไทย ทางภาคกลางและภาคใต้เรียกชื่อตัวเองว่า ศรีธนญชัย ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานไม่เรียกว่าศรีธนญชัย แต่เรียกชื่อตัวเอกว่า เชียงเมี่ยง
นิทานเรื่องศรีธนญชัยจงใจกำหนดบุคลิกของกษัตริย์ให้เป็นตัวตลก ต้องยอมจำนนต่อสติปัญญาเล่ห์เหลี่ยมของศรีธนญชัยเสมอ ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ในนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยหลายเรื่อง ต่อมาก็นำไปแต่งเป็นบทละครนอก เช่น ท้าวสามลในเรื่องสังข์ทอง เป็นต้น เหตุที่
ประเพณีพื้นบ้านพื้นเมืองกำหนดให้บุคลิกของกษัตริย์ในนิทานและในตัวละครเป็นตัวตลกอย่างนั้น ดูเหมือนจะเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคมและวัฒนธรรมเพราะตามปกติคนทั่วไปไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินและไม่มีสิทธิล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินได้ ต่อมาเมื่อเล่านิทานหรือดูละครเท่านั้น สามัญชนจึงจะมีโอกาสละเมิดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ได้” (สุจิตต์ วงษ์เทศ “ศิลปวัฒนธรรม” ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๑)
ส่วนเรื่อง “ขะต้ำป๋าค่ำตุ๊” หรือ “กะต้ำป๋าค่ำตุ๊” (ตุ๊ = สาธุ หมายถึงภิกษุ) นั้น เป็นเรื่องชวนหัวทำนองเดียวกับเซี่ยงเมี่ยง แต่เปลี่ยนตัวละครจากเวียงเมี่ยงเป็นขะต้ำป๋า พระราชาเจ้าเมืองเป็นพระภิกษุ
เนื้อเรื่องมีมากมาย แตกต่างกันไป เช่นเรื่อง “ตุ๊เจ้าห้ามขุดจิ๊กกุ่งในวัด”
๐ ตุ๊เจ้าเห็นชาวบ้านมาขุดจิ๊กกุ่ง(จิ้งโกร่ง) ในวัดเอาไปกิน จึงเขียนประกาศว่า “ห้ามขุดจี๊กกุ่งในวัด”
ขะต้ำป๋า จึงเอาถ่านเขียนต่อท้ายว่า “ขุดได้นำถวาย”
ตุ๊เจ้าอยากกินจี๊กกุ่ง เลยเขียนต่อว่า “หลังโบสถ์มีสองหลุม (ขุม) อาจจะซ้อน(มีสองตัว) ๐
ตุ๊เจ้าอยากกินจี๊กกุ่ง เลยเขียนต่อว่า “หลังโบสถ์มีสองหลุม (ขุม) อาจจะซ้อน(มีสองตัว) ๐
ในทัศนะผู้เขียน นิทานเหล่านี้และบทละครที่ท้าวสามลเป็นตัวตลกนั้น เป็นวรรณกรรมเสียดเย้ยเท่านั้น ยังไม่ใช่วรรณกรรมการเมือง
กาพย์พระไชยสุริยา
วรรณคดีร้อยกรองที่มีลักษณะเสียดเย้ย เรื่องหนึ่ง “กาพย์พระไชยสุริยา” ของสุนทรภู่
กาพย์พระไชยสุริยาเป็นแบบเรียนที่สุนทรภู่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ทีวัดเทพธิดาราม ท่านแต่งเป็นกาพย์ซึ่งแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย ในเรื่องของมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ เช่น แม่กก กง กน กด กบ และเกย เป็นต้น โดยเดินเรื่องเป็นนิทานมีเนื้อเรื่องว่า
มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่าไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถี มีพระมเหสีทรงพระนามว่าสุมาลี ครอบครองบ้านเมืองด้วยความผาสุก ต่อมาข้าราชการ เสนาอำมาตย์ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จึงเกิดเหตุอาเพศ เกิดน้ำป่าไหลท่วมเมือง ผีป่าอาละวาด ทำให้ชาวเมืองล้มตายจำนวนมาก พระไชยสุริยากับพระมเหสีจึงลงเรือสำเภาแต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก พระไชยสุริยาและมเหสีขึ้นฝั่งได้
ในเรื่องได้สอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย จุดประสงค์ของการแต่งก็เพื่อถวายพระอักษรแด่พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระอัครชายา คือเจ้าฟ้าชายกลางแล้วเจ้าฟ้าปิ๋ว ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ 5 เมื่อพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่งหนังสือมูลบทบรรพกิจ สำหรับใช้เป็นแบบเรียนหนังสือไทยในโรงเรียนหลวง คงเห็นว่ากาพย์เรื่องพระไชยสุริยานี้ เป็นบทกวีนิพนธ์ที่ไพเราะทั้งอ่านเข้าใจง่ายและเป็นคติ จึงนำมาบรรจุไว้ในมูลบทบรรพกิจเป็นตอนๆ ตั้งแต่แม่ ก กา ไปจนจบ เกยในการศึกษากาพย์พระไชยสุริยา ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี11 กาพย์ฉบัง16 และ กาพย์สุรางคนางค์ 28
เนื้อความตอนที่มองได้ว่า 1. เสียดเย้ยสังคม หรือ 2. เป็นการนำเอาภาพด้านลบ ใช้ตัวอย่างที่ไม่ดี มาสอนผู้คน (มีตัวอย่างเช่น วรรณคดีเรื่อง “ธนญไชยชาดก” ซึ่งตัวเอกคือพระโพธิสัตว์ที่เสวยชาติเป็นบัณฑิต ส่วนกษัตริย์ผู้ครองเมืองเป็นคนไม่ดี เป็นต้น)
| พระศรีไตรสรนา | ||||
| เทวดาในราศี | ||||
| |||||