18 สิงหาคม 2553

วรรณคดีการเมือง (2)

                                วรรณคดีการเมือง (2)
                นิทานมุขปาฐะ (ต่อ)     
             ส่วนฉบับทางอีสาน  ที่แพร่หลายคือ  เซียงเมี่ยง”  อักษรธรรม ๑ ผูก วัดนามึน ต.ในเมือง อ.เมือง จ. อุบลราชธานี
       เซียงเมี่ยงเป็นนิทานเจ้าปัญญาที่มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นสำนวนต่างๆ แล้วแพร่กระจายไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะสำนวนของภาคอีสานนั้นหลายสำนวนแต่พอสรุปเรื่องได้ว่า
       กษัตริย์องค์หนึ่งครองเมืองสียุดทิยา มเหสีประสูติพระโอรสแต่โหรทำนายว่าจะเลี้ยงยาก ต้องหาเด็กที่เกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงด้วย จึงไปขอลูกนางคำฮางซึ่งเกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงร่วมกัน โดยให้นางสนมเป็นคนเลี้ยง เมื่อโตขึ้นจึงถวายตัวเป็นมหาดเล็ก และมีช่วงหนึ่งได้ออกบวชแล้วก็สึกออกมารับใช้กษัตริย์ต่อไป ส่วนเนื้อเรื่องที่แสดงถึงความเป็นเจ้าปัญญาของเซียงเมี่ยงนั้น มีเป็นตอนๆ เช่น
       เซียงเมี่ยงเลี้ยงน้อง   ,    เซียงเมี่ยงเก็บหมากที่ตกอยู่   ,        เซียงเมี่ยงกินข้ออ้อยจนเกิดมีปัญญาเหนือกว่าคนอื่น  ,       ลองปัญญากับสมภาร   ,        พนันกับลาวส่งเมี่ยง   ,         เซียงเมี่ยงแต่งงาน (เลือกคู่)       ให้ยาดีแก่พระราชา ,      พระราชาแกงแร้งให้เซียงเมี่ยงกิน  ,    เซียงเมี่ยงหลอกพระยาเลียขี้แร้ง   ,    พระราชาให้นางสนมออกไข่  ,    เซียงเมี่ยงติเรือนพระราชา   ,    เซียงเมี่ยงติช้างพระยา  ,         พระราชาให้ไปหาปากง่าม   ,    เซียงเมี่ยงหลอกพระยาลงหนองน้ำ  ,   พระราชาให้ไปหาผ้าลายตีนแต้ม  ,      เซียงเมี่ยงหลอกดูก้นสมภาร  ,    พระราชาสั่งให้เซียงเมี่ยงล่วงหน้าไปก่อน   ,   พระราชาสั่งให้มาก่อนไก่  ,  เซียงเมี่ยงขอที่เท่าแมวดิ้นตาย  ,    เซียงเมี่ยงขอเงินหนึ่งบาท  ,     พระราชาสั่งให้นางสนมไปอุจจาระรดเรือนเซียงเมี่ยง  ,      เจ้าต่างเมืองมาท้าชนหัวล้าน  ,    ภรรยาบอกให้เซียงเมี่ยงหาเงิน  ,     เซียงเมี่ยงทายใจเสนา ,    เซียงเมี่ยงดมตด  ,   เซียงเมี่ยงทายว่าพระราชาจะตายภายใน ๗ วัน  ,    เซียงเมี่ยงตอบปัญหากับราชครูเมืองตานี  ,    เซียงเมี่ยงแก้มือศึกเมืองปัญจานครที่เข้ามาประชิดเมือง  ,     พระราชาให้เซียงเมี่ยงไปเก็บพริก ,   เซียงเมี่ยงให้พระราชาดมตด  ,     เซียงเมี่ยงกองก้นรับเสด็จ ,     เซียงเมี่ยงเอาเปรียบเณรน้อยในเรือ  ,   เณรน้อยแก้แค้นเซียงเมี่ยง  ,      เซียงเมี่ยงชนวัว  ,       เซียงเมี่ยงชนไก่  ,     เซียงเมี่ยงสานตะกร้าในน้ำ ,   เซียงเมี่ยงขอลูกสาวเสี่ยว ,     เซียงเมี่ยงถูกยาเบื่อตาย  ,     กระดูกเซียงเมี่ยงทำพิษแก่แม่หม้าย เป็นต้น (ยังมีอื่นๆ อีก แตกต่างกันบ้าง)”
      ในบทความเรื่อง ศรีปราชญ์อยู่ที่ไหน ศรีธนญชัยอยู่ที่นั้น (ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2541)  “สุจิตต์ วงศ์เทศ”  ให้ความเห็นไว้ดังต่อไปนี้
     “ศรีธนญชัยเป็นนิทานตลกขบขันที่ได้ชื่อมาจากตัวเอกเจ้าปัญญาแบบฉลาดแกมโกง
       นิทานเรื่องศรีธนญชัยแพร่หลายทั่วไปในดินแดนประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่านิทานเรื่องนี้กำเนิดที่ไหน? หรือแพร่หลายกระจายจากดินแดนแห่ง
  ใด                                             
       เมื่อเอ่ยชื่อ ศรีธนญชัยคนไทยทั่วไปจะรู้ทันทีว่าหมายถึงคนมีปฏิภาณเป็นยอด มีไหวพริบเป็นเยี่ยม แต่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเป็นร้อยเล่มเกวียนจนยากที่ใครจะรู้เท่าทัน ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงพวก ตลกหลวงที่ทำหน้าที่ถวายเรื่องราวและการกระทำที่สนุกสนามให้พระเจ้าแผ่นดินสมัยโบราณทรงมีอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์
     ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำแหน่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็นตลกหลวงอยู่ด้วย ๒ ชื่อ คือ นักเทศและ ชันทีบางแห่งเขียนติดกันว่านักเทศขันทีแต่หมายถึงเจ้าหนักงาน ๒ คน
ชื่อ นักเทศชี้ชัดว่าหมายถึงชาวต่างชาติ คือไม่ใช่พวกสยามและน่าจะมีลักษณะพิเศษอยู่ด้วย คือเป็นพวกกะเทย เรื่องนี้มีร่องรอยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นพวกที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาซื้อมาจากอินเดียและเปอร์เซีย ส่วน ขันทีคงเป็นผู้ชายจีนที่ถูกตอนแล้ว ทั้งพวกนักเทศและขันทีล้วนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ คือ แขกกับ เจ๊กที่ถูกตอนหรือหรือถูกทำให้เป็นกะเทย แล้วถูกซื้อ-ขายเข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และน่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายใน เพราะได้รับสิทธิพิเศษ
   
น่าสงสัยว่าพวกนักเทศขันทีเหล่านี้แหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมหมายกำหนดการเข้าเฝ้าและระเบียบการต่างๆ ในราชสำนักรวมทั้งถวายเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย
   
บางทีพวกนักเทศหรือขันทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องศรีธนญชัยก็ได้ เพราะนิทานเรื่องนี้มีแพร่หลายทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งน่าจะมีเค้ามาจากต่างประเทศ
     นิทานเรื่องศรีธนญชัยสมัยแรกเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากสืบๆ กันต่อมา ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหนและแพร่หลายไปอย่างไรบ้าง สมัยแรกๆ นี้ยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีผู้เอานิทานเรื่องศรีธนญชัยไปแต่งเป็นร้อยกรอง หรือเป็นกาพย์ กลอนแบบต่างๆ ที่นิยมตามท้องถิ่นนั้นเพื่อขับลำเล่านิทาน หรืออ่านเป็นทำนองให้ชาวบ้านฟัง....................
   
ในประเทศไทย ทางภาคกลางและภาคใต้เรียกชื่อตัวเองว่า ศรีธนญชัย ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานไม่เรียกว่าศรีธนญชัย แต่เรียกชื่อตัวเอกว่า เชียงเมี่ยง
     
นิทานเรื่องศรีธนญชัยจงใจกำหนดบุคลิกของกษัตริย์ให้เป็นตัวตลก ต้องยอมจำนนต่อสติปัญญาเล่ห์เหลี่ยมของศรีธนญชัยเสมอ ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ในนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยหลายเรื่อง ต่อมาก็นำไปแต่งเป็นบทละครนอก เช่น ท้าวสามลในเรื่องสังข์ทอง เป็นต้น เหตุที่
                                                   
ประเพณีพื้นบ้านพื้นเมืองกำหนดให้บุคลิกของกษัตริย์ในนิทานและในตัวละครเป็นตัวตลกอย่างนั้น ดูเหมือนจะเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคมและวัฒนธรรมเพราะตามปกติคนทั่วไปไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินและไม่มีสิทธิล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินได้ ต่อมาเมื่อเล่านิทานหรือดูละครเท่านั้น สามัญชนจึงจะมีโอกาสละเมิดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ได้”  (สุจิตต์ วงษ์เทศ   “ศิลปวัฒนธรรม” ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๒  ธันวาคม ๒๕๔๑) 
          ส่วนเรื่อง “ขะต้ำป๋าค่ำตุ๊” หรือ “กะต้ำป๋าค่ำตุ๊”  (ตุ๊ = สาธุ  หมายถึงภิกษุ) นั้น    เป็นเรื่องชวนหัวทำนองเดียวกับเซี่ยงเมี่ยง    แต่เปลี่ยนตัวละครจากเวียงเมี่ยงเป็นขะต้ำป๋า    พระราชาเจ้าเมืองเป็นพระภิกษุ
                เนื้อเรื่องมีมากมาย  แตกต่างกันไป   เช่นเรื่อง “ตุ๊เจ้าห้ามขุดจิ๊กกุ่งในวัด”
        ๐ ตุ๊เจ้าเห็นชาวบ้านมาขุดจิ๊กกุ่ง(จิ้งโกร่ง) ในวัดเอาไปกิน  จึงเขียนประกาศว่า  “ห้ามขุดจี๊กกุ่งในวัด”
          ขะต้ำป๋า จึงเอาถ่านเขียนต่อท้ายว่า  “ขุดได้นำถวาย”
          ตุ๊เจ้าอยากกินจี๊กกุ่ง  เลยเขียนต่อว่า  “หลังโบสถ์มีสองหลุม (ขุม)  อาจจะซ้อน(มีสองตัว) ๐
        ในทัศนะผู้เขียน  นิทานเหล่านี้และบทละครที่ท้าวสามลเป็นตัวตลกนั้น   เป็นวรรณกรรมเสียดเย้ยเท่านั้น   ยังไม่ใช่วรรณกรรมการเมือง
                       กาพย์พระไชยสุริยา
        วรรณคดีร้อยกรองที่มีลักษณะเสียดเย้ย    เรื่องหนึ่ง “กาพย์พระไชยสุริยา” ของสุนทรภู่ 
       กาพย์พระไชยสุริยาเป็นแบบเรียนที่สุนทรภู่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3  ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ทีวัดเทพธิดาราม ท่านแต่งเป็นกาพย์ซึ่งแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย ในเรื่องของมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ เช่น แม่กก กง กน กด กบ และเกย เป็นต้น    โดยเดินเรื่องเป็นนิทานมีเนื้อเรื่องว่า
            มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่าไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถี มีพระมเหสีทรงพระนามว่าสุมาลี ครอบครองบ้านเมืองด้วยความผาสุก ต่อมาข้าราชการ เสนาอำมาตย์ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จึงเกิดเหตุอาเพศ เกิดน้ำป่าไหลท่วมเมือง ผีป่าอาละวาด ทำให้ชาวเมืองล้มตายจำนวนมาก พระไชยสุริยากับพระมเหสีจึงลงเรือสำเภาแต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก พระไชยสุริยาและมเหสีขึ้นฝั่งได้
                                                                            
             ในเรื่องได้สอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย         จุดประสงค์ของการแต่งก็เพื่อถวายพระอักษรแด่พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระอัครชายา คือเจ้าฟ้าชายกลางแล้วเจ้าฟ้าปิ๋ว   ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ 5 เมื่อพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่งหนังสือมูลบทบรรพกิจ สำหรับใช้เป็นแบบเรียนหนังสือไทยในโรงเรียนหลวง คงเห็นว่ากาพย์เรื่องพระไชยสุริยานี้ เป็นบทกวีนิพนธ์ที่ไพเราะทั้งอ่านเข้าใจง่ายและเป็นคติ จึงนำมาบรรจุไว้ในมูลบทบรรพกิจเป็นตอนๆ ตั้งแต่แม่ ก กา ไปจนจบ เกยในการศึกษากาพย์พระไชยสุริยา ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี11 กาพย์ฉบัง16 และ กาพย์สุรางคนางค์ 28
        เนื้อความตอนที่มองได้ว่า   1. เสียดเย้ยสังคม   หรือ 2. เป็นการนำเอาภาพด้านลบ ใช้ตัวอย่างที่ไม่ดี มาสอนผู้คน (มีตัวอย่างเช่น  วรรณคดีเรื่อง “ธนญไชยชาดก” ซึ่งตัวเอกคือพระโพธิสัตว์ที่เสวยชาติเป็นบัณฑิต     ส่วนกษัตริย์ผู้ครองเมืองเป็นคนไม่ดี เป็นต้น)       

พระศรีไตรสรนา

เทวดาในราศี









  




























11 สิงหาคม 2553

ปริศนาธรรมวันแม่

                                                          ปริศนาธรรมวันแม่


“วันแม่” วันมหามงตล โน้มนำให้ชาวไทยรำลึกถึงพระคูณแม่ นึกถึงบทบาทความสำคัญของแม่ นึกถึงความสำคัญของครอบครัว นึกถึงความสำคัญของผู้หญิง

โน้มนำถึงความรักชาติด้วย เพราะชาติหรือมาตุภูมิก็เปรียบประดุจแม่

รวมถึงโน้มนำให้รำลึกถึงโลกธรรมชาติ อันเป็นแม่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในพิภพนี้

บทความรำลึกพระคุณแม่ใน “วันแม่” นี้มีมากมาย แต่อาจมีปริศนาธรรมบางข้อที่หลายท่านอาจจะมิได้ใคร่ครวญในแง่มุมนั้นบ้าง

นั่นคือในธรรมชาตินั้น “บางสิ่งเกิดมาแล้วก็ย่อมฆ่าซึ่งแม่แห่งตน”

พระวินัยปิฎก จุลวรรค สังฆเภทขันธกะ มีข้อความว่า

“ผลกล้วยย่อมฆ่ากล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ สักการะย่อมฆาสคนชั่ว เหมือนม้าอัสดรซึ่งเกิดในครรภ์ ย่อมฆ่าแม่ม้าอัสดรนั้น”

พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค จตุตถวรรค ปักกันตสูตร มีข้อความว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นกล้วยเผล็ดผล เพื่อฆ่าตนเองเพื่อความเสื่อมฉันใด ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้ไผ่ออกขุย เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อมฉันใด ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฉันนั้นเหมือนกัน

กูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้อ้อออกดอก เพื่อฆ่าตนเองเพื่อความเสื่อมฉันใด บาภสักการะชื่อเสียงเกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อมฉันนั้นเหมือนกัน

ดุกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่ม้าอัสดรตั้งครรภ์ เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อมฉันใด ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อมฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและชื่อเสียง ทารุณ ฯลฯ อย่างนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ”

นอกจากในพระไตรปิฎกแล้ว “ปัญหาว่าด้วยธรรมชาติที่เกิดมาแล้วย่อมฆ่าซึ่งแม่ของตน” ก็ยังปรากฏในวรรณกรรมคำสอน เช่น คัมภัร์ธรรมนีติ ดังคาถาบทที่ 154 ว่า

“ลูกกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่และดอกอ้อย่อมฆ่าต้นไผ่และต้นอ้อ ลาภผลฆ่าคนชั่ว ลูกม้าอัสดรก็ฆ่าแม่ม้าอัสดรเหมือนกัน”

แต่มนุษย์นั้น ได้ชื่อว่าจิตใจสูงส่ง มนุษย์มีคุณสมบัติรู้จักกตัญญูกตเวทิตา นี่เป็น “ธรรมชาติอันอัศจรรย์”

ในเรื่องธนัญชัยบัณฑิตชาดก บัณฑิตสามคนที่มาโต้แย้งกับธนัญชัยบัณฑิตโพธิสัตว์ บอกว่าความอัศจรรย์ของธรรมชาติคือ 1.การที่คนเรารู้จักปฏิสันถารพุดจาปราศรัยกัน 2.การที่คนเรารู้จักสรรเสริญเยินยอกัน 3.การที่คนมีความเคารพยำเกรงกัน แต่ธนัญชัยบัณฑิตโพธิสัตว์ตอบแก้ปัญหาว่า ความอัศจรรย์ของธรรมชาติทั้งสามประการนั้น ไม่มีแก่นสาระ ธรรมชาติอันเป็นอัศจรรย์อันประกอบด้วยแก่นสาระนั้น ได้แก่กตัญญูกตเวทิตา รู้คุณท่านและตอบแทนคุณท่าน นี่และเป็นอัศจรรย์อันประเสริฐในโลกนี้

นี่แลคือธรรมชาติของมนุษย์ที่แตกต่างจากธรรมชาติของสัตว์อื่น

หวังว่า “กตัญญูกตเวทิตา” จะมีอยู่ในใจทุกท่านทุกวัน มิใช่มามีเฉพาะในวันแม่เท่านั้น

10 สิงหาคม 2553

วรรณคดีการเมือง (๑)

                                                  วรรณคดีการเมือง (1)


วรรณคดีการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีเปรียบเทียบ

วรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และน่าจะถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากด้วย

วัฒนธรรมนั้นมีชีวิต เพราะเกิดจากมนุษย์ ขึ้นอยู่กับมนุษย์ เป็นผลิตผลของมนุษย์ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดตามความเปลี่ยนแปลงไปของสังคมมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมจะส่งผลกระทบต่อวรรณกรรมทั้งรูปแบบและเนื้อหา ทำให้เกิดการแสดงออกผ่านวรรณกรรมทั้งโดยในรูปไม่จงใจส่งผลสะเทือนย้อนกลับไปเปลี่ยนวัฒนธรรม และโดยมีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในส่วนนั้น ๆ ของสังคมของตนให้เป็นไปตามแบบที่ตนศรัทธา

ตันติวรรณกรรม (วรรณกรรมคลาสสิค) ของไทยส่วนใหญ่มีลักษณะไม่จงใจส่งผลสะเทือนไปเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม มีเพียงส่วนน้อยที่มีเจตนาสร้างผลสะเทือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ซ้ำร้ายยังต้อง “ซ่อนนัย” ทำให้น้อยคนจะเข้าใจวรรณกรรมลักษณะนี้

โดยทั่วไปเราเรียกวรรณกรรมที่ดีเลิศว่า “วรรณคดี” มีนัยว่าวรรณกรรมทุกเรื่องมิใช่จะคือวรรณคดีเสียทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม บทความชุดนี้จะใช้คำว่า “วรรณคดี” กับงานวรรณกรรมทุกชิ้นที่ผู้เขียนนำมาอ้างอิง เพราะวรรณกรรมที่ผู้เขียนยกมาเสนอ บางเรื่องแม้จะมิใช่วรรณคดีระดับที่วงการทั่วไปยกย่องว่าเป็นดีเยี่ยมอันดับที่หนึ่งก็ตาม แต่ผู้เขียนก็เห็นว่ามีคุณค่าในด้านการแต่งวรรณกรรมเพียงพอจะเรียกว่าวรรณคดีได้ทุกเรื่อง

การศึกษาวรรณคดีนั้น เราควรจะทำหลาย ๆ ด้าน อย่างที่เรียกว่า “วรรณคดีเปรียบเทียบ”

“โดยปกติ งานทางวรรณกรรมเรื่องหนึ่งอาจศึกษาได้หลายแนว ถ้าแยกอย่างกว้าง ๆ ก็จะมีสองแนว คือ ลักษณะทางการแต่งหรือสิ่งภายใน กับวัสดุทางข้อมูลกับความคิดหรือสิ่งภายนอก การศึกษาจากทัศนะของวรรณคดีเปรียบเทียบ ที่ผู้ศึกษาพบในบทความทางวิชาการส่วนใหญ่จะแสดงการค้นคว้าและวิเคราะห์ในแนวเดียว ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะศึกษางานชิ้นเดียวกันนี้ในแง่อื่นไม่ได้ แม้แต่จะเป็นการศึกษาแนวภายนอกด้วยกัน เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคม อาจศึกษาไนแง่จิตวิทยาด้วยก็ได้ เช่นเดียวกับที่เราอาจศึกษาการแต่งกวีนิพนธ์บทหนึ่งในแนวภายในจากแง่ของจินตภาพ การสร้างประโยค และการใช้รูปแบบทางฉันทลักษณ์ เป็นค้น การที่มีผู้ศึกษาวรรณกรรมชิ้นหนึ่งจากแง่หนึ่ง จึงไม่ได้ตัดหนทางที่จะมีการศึกษาเรื่องเดียวกันในแง่อื่น และไม่ได้หมายความว่า เมื่อการศึกษาในแง่หนึ่งเป็นที่ยอมรับ การศึกษาในแง่อื่นอีกหลายแง่จะหมดความหมาย ตรงกันข้าม ผู้ที่สนใจวรรณกรรมเรื่องนั้นกลับได้ประโยชน์จากการรวบรวมผลของการศึกษาต่างแง่ในแนวเดียวกันมาพิจารณาเทียบเคียง ทำให้เห็นคุณค่าและความหมายของวรรณกรรมได้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น” (“วรรณคดีเปรียบเทียบ” สุธา ศาสตรี มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ ๒๕๒๕ หน้า ๙-๑๐)

การศึกษาวรรณคดีไทยในแง่ “การเมือง” ยังมีผู้ศึกษากันน้อย บทความชุดนี้มุ่งหมายเพื่อช่วยเพิ่มเติมข้อมูล และทัศนะเท่าที่สติปัญญาของผู้เขียนจะทำได้

ผู้เขียนเห็นว่า ตำราเรียนของไทยส่วนใหญ่เน้นเสนอแต่ทัศนะความเข้าใจของผู้เขียน ไม่ค่อยเสนอหลักฐานชั้นต้นคือบทประพันธ์ในวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ จะยกเอามาเป็นตัวอย่างก็เพียงน้อยนิด บทความชุดนี้จึงพยายามนำเสนอคำประพันธ์จากวรรณคดีที่กล่าวถึงนั้นให้มากสักหน่อย บางเรื่องที่เป็นชิ้นสั้น ๆ ก็จะคัดมาทั้งหมด เพื่อความสะดวกของผู้ศึกษาไม่ต้องไปพลิกหนังสือหาอ่านที่อื่น

วรรณคดีสังคม

ผู้เขียนใช้คำว่า “วรรณคดีสังคม” เพื่อเปรียบเทียบกับ “วรรณคดีการเมือง”

“วรรณคดีสังคม” ผู้เขียนตั้งใจหมายถึง วรรณคดีส่วนที่สื่อแสดง “แนวคิด” หรือ “กระแสอารมณ์ความรู้สึก” ในสังคม ซึ่งมีทั้งที่สื่อแบบปรุงแต่งซ่อนนัย และสื่อ สะท้อนภาพเป็นจริงแบบสัจจะนิยม แต่วรรณคดีระดับนี้ยังไม่ถึงกับวิพากย์วิจารณ์สังคมหรือสถาบันในสังคมขนาดที่จะจัดให้เป็นวรรณคดีการเมือง

ตัวอย่างวรรณคดีสังคมแบบสื่อปรุงแต่งซ่อนนัย ก็เช่น มุขปาฐะเรื่อง “เซี่ยงเมี่ยง” ของล้านช้าง ล้านนา . “ศรีธนญชัย” ของไทยกลาง , “ขะต้ำป๋าหรือกะต้ำป๋า” ของล้านนา , “จั่วน้อย” (เณรน้อย) ของ อีสาน

ตัวอย่างวรรณคดีสังคมที่สื่อแสดงภาพสังคมแบบสัจจะนิยม ก็มีบทร้อยกรองบางตอน ในวรรณคดีเรื่อง กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ , ปุณโณวาทคำฉันท์ , บทร้องมหโหรีครั้งกรุงเก่าบางเพลง เป็นต้น

๑ . วรรณกรรมเสียดเย้ย

สำหรับนิทาน “เซี่ยงเมี่ยงค่ำพญา” “ขะต้ำป๋าค่ำตุ๊” และเรื่องจั่วน้อยนี้ ชื่อเรื่องได้บอกนัยไว้แล้วว่า เป็นเรื่องเสียดเย้ย ที่ชนชั้นล่าง (ไพร่) ในสังคมระบายความขับข้องหมองใจออกมาเป็นนิทานตลกขำขัน โดยใช้ชนชั้นสูง คือพญา (ชนชั้นปกครอง) และตุ๊เจ้า (พระภิกษุ ) เป็นตัวตลก ส่วนข้าพญาคือเซี่ยงเมี่ยง ขะต้ำป๋า - เด็กวัด (ขโยมวัด) และจั่วน้อย เป็นตัวเอกที่ฉลาดกว่าพญาและตุ๊เจ้า จนสามารถ “ค่ำ” (กลั่นแกล้ง)พญาและตุ๊เจ้าได้

ในสังคมเป็นจริง คนระดับล่างอย่างเซี่ยงเหมี้ยงและขะต้ำป๋า หรือศรีธนญชัย ไม่สามารถจะกลั่นแกล้งคนชั้นสูงได้ จะทำได้ก็เพียงในจินตนาการ โดยซ่อนนัยเอาไว้ในนิทานชวนหัวเท่านั้น

นิทานทำนองนี้ ยังมีปรากฏในสังคมชาวไทใหญ่ และกลุ่มเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในอุษาคเนย์เช่นกัน นิทานเรื่องทำนองนี้มีแพร่หลายในเปอร์เซียอีกด้วย

นิทานของชาวไทใหญ่นั้นเรียกกันว่า “ไอ่จอกขี้แหลน” แปลว่า ไอ้จอกขี้โกหก

นิทานเหล่านี้เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ เล่าด้วยภาษาพื้นเมืองจึงจะได้รสชาติ ถ้าแปลงเป็นเรื่องอ่านใช้สำนวนไทยภาคกลางเสียแล้วจะหมดสนุก

อย่างนิทานไอ่จอกขี้แหลนเรื่องหนึ่ง แปลเป็นไทยกลางว่า

ขุนหัวคำ (เจ้าเมือง)ถามไอ้จอกว่า “ไอ้จอก มึงหลอกกูลงน้ำได้มั้ย”

ไอ้จอกบอกว่า “ปัญหาข้า บ่ มีจะหลอกขุนหัวคำลงน้ำได้ แต่ข้ามีปัญญาหลอกขุนหัวคำขึ้นจากน้ำได้”

ขุนหัวคำได้ฟังก็โดดลงน้ำดังจ๋อม

ไอ้จอกได้แต่หัวร่อ ฮิ ๆ ๆ

เรื่องเซี่ยงเมี่ยงนี้ แพร่หลายทั้งในล้านนาและล้านช้าง แต่ในรายละเอียดก็มีแตกต่างกันบ้าง แม้เรื่องทางล้านช้าง(ลาวและไทอีสาน)เองก็มีแตกต่างสำนวนกันไปมาก

ต้นตอของเซี่ยงเมี่ยง ทางล้านนาเล่าว่า

“มียายแม่หม้ายคนหนึ่ง มีลูกสามคน ทีแรกนั้น ยายแม่หม้ายคนนี้จะข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง ทีนี้ก็ข้ามไม่ได้ มีพญาขี่เรือมา ขอข้ามพญา(ขอข้ามไปกับพญา) พญาก็ไม่ให้ข้าม พระพายเรือมาอีก ขอข้ามกับพระ พระก็ไม่ให้ข้าม ทีนี้ก็มีลัวะพายเรือมาอีก ขอข้ามกับลัวะ ลัวะก็ไม่ให้ข้าม

ก็เลยผูกเวรไว้ว่า ขอภาวนา(ผาถะนา) มีลูกสามคน

คนหนึ่งไปแกล้งพญา

คนหนึ่งไปแกล้งพระ

คนหนึ่งไปแกล้ง ลัวะ

ทีนี้ก็ พอดีก็..ยายแม่หม้ายคนนั้นเกิดมาอีกชาติหนึ่ง มาได้ผัวสิ มีลูกสามคนแหละ (ได้แต่งงานอยู่กินกับสามี จนมีลูกด้วยกันสามคน) ผัวตายทิ้ง เลยเป็นยายแม่หม้าย มีลูกสามคน คนหัวปี ไปแกล้งพญา (ลูกคนหัวปี ของนางแม่หม้าย ก็ได้ไปแกล้ง พญา ดังคำสาปแช่ง ที่นางแม่หม้ายได้อธิษฐานไว้ เมื่อชาติปางก่อน)

มัน…เที่ยวไปตามในบ้านในเมืองเนี่ย (ท่องเที่ยวไปวัน ๆ) เจอใครก็โกหก หลอกเล่นไปเรื่อย คนอื่นเห็น (คนอื่นๆ เห็นว่า)

“เออ…หมอนี่สมควรไปอยู่กับพญา มันพูดตลกขบขันดี”

พญาก็เอาอยู่ด้วยพญา บ้านเป็นทัพเมืองเป็นศึก พญาว่า(พญาจึงได้สั่งกับเซี่ยงเมี่ยงว่า)

“เซี่ยงเมี่ยง ให้มึงอยู่บ้านนะ”

มันก็อยู่ อยู่เฝ้าบ้าน ทีนี้ พญาไปทัพ ปล่อยมันเฝ้าบ้าน มันก็พยายามเล่นเมียพญา(เซี่ยงเมี่ยงเล่นชู้กับเมียพญา) เมียพญาก็เล่นคบชู้กับมัน จนไม่รู้จะทำยังไง

พญามารู้ว่ามันเล่น มันก็ว่ามันไม่ได้เล่น

“ผมไม่ได้เล่น ผมไม่ได้ทำจริงๆ”

“ก็มึงมีหลักฐานเหรอ”

“มีสิ .. ถ้าผมได้เสพได้สู่กับเมียพญา ดูผมนี่เถอะ”

เอาปลาร้าปลาสร้อยเข้าพอกหัวแหละ “ดูสิ”

กลิ่นสาบตลบอบอวน พญาก็เลยเชื่อมัน ว่าไม่ได้เล่นจริง” (จากเรื่อง “มรดกทางวรรณกรรมของอุษาคเนย์ เซียงเมี่ยง จอมกะล่อน” http://thaiarc.tu.ac.th)

8 เมษายน 2553

บทกวีภาษาจีน"รากเดียวกันจริงหรือ"

      是 否 同 根 生


๐ 难 信 竟 是 同 根 生 ,

小 人 畜 心 多 欢 乐 .

泰 国 败 国 鬼 谩 横 ,

君 子 无 处 询 真 和 。



        รากเดียวกันหรือ ?

๐ เหลือเชื่อว่าพี่น้องรากเดียวกัน

คนถ่อยอันใจสัตว์ช่างเริงร่า

ชาติไทยพ่ายแพ้ผีล่มพารา

นรชนจนปัญญาสมานฉันท์ ๐

                  โชติช่วง นาดอน

      เขียนบททกวีภาษาจีนแล้วแปลเป็นไทย

      0.37 น. วันที่ 9 เมษายน พ.ศ 2553

      นี่คือวันเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง

      บันทึกไว้ด้วยความสิ้นหวังต่อดินแดน

                แห่งความยากไร้ปรัชญา

30 มีนาคม 2553

พระนั่งเกล้าฯ

                            พระนั่งเกล้าฯ
      ๐ พระผ่านภพร้อยเชื่อมยุคสมัย
       สายพระเนตรยาวไกลเสริมสร้างสรรค์
       พุทธศาสน์สรรพวิชานับอนันต์
       ทรงวางแนวสัมพันธ์โลกสากล ๐
                   ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

29 มีนาคม 2553

the longest year

                                                                   The Longest Year


สถานการณ์เมืองไทยในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม ล่อแหลมขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อทางกลุ่ม นปช.ผ่านฟ้า ประกาศว่าจะเดินทางไปเรียกร้องนายกรัฐมนตรียุบสภาในทันที แกนนำ นปช.บางคนประกาศว่าถ้านายกรัฐมนตรีไม่ยอมยุบสภา เสื้อแดงก็จะเข้าไปในกรมทหารราบ 11 จุดนี้สร้างความตึงเครียดขึ้นทันที เพราะคนทั่ว ๆ ไปก็มีสามัญสำนึกรู้ว่า นายกรัฐมนตรีจะไม่ยอมยุบสภาเพราะการใช้มวลชนกดดันหน้ากรมทหารราบ 11 แล้วเมื่อเจรจาไม่สำเร็จ มวลชนรุกเข้าไปในพื้นที่กรมทการาบ 11 ทหารก็ย่อมจะป้องกันพื้นที่ ด้วยมาตรการทีละขั้น

แต่ในที่สุด ก็จะหลีกความรุนแรงไม่พ้น

เช้าวันอาทิตย์ ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ นายกรัฐมนตรีแถลงก่อน กลุ่ม นปช.ผ่านฟ้าเคลื่อนขบวนไปกรมทหารราบ 11 ว่าจะไม่พบกับแกนนำ นปช.ผ่านฟ้าที่กรมทหารราบ 11 แล้วแกนนำ นปช.ผ่านฟ้าเรียกร้องใหม่ ให้เวลานายกรัฐมนตรี 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงมีการตอบรับจากรัฐบาลให้มีการนัดเจรจาที่สถาบันพระปกเกล้า โดยกลุ่ม นปช.ผ่านฟ้าจะไม่เคลื่อนมวลชนออกไป แต่กลุ่ม นปช.หน้ากรม

ทหารราบ 11 ยังชุมนุมอยู่หน้ากรมทหารราบ 11

นักวิเคราะห์สถานการณ์ในจอโทรทัศน์ ส่วนใหญ่มองตรงกันว่า เป็นเกมชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบเสียเปรียบกัน ระหว่างแกนนำ นปช.ผ่านฟ้า กับรัฐบาลเท่านั้น เพราะต้นตอของปัญหารากเหง้าคือเรื่องคดีความและทรัพย์สินของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว !

แม้ว่าจะยุติวิกฤติเฉพาะหน้าใน กทม. ขณะนี้ได้ โดยสามารถกำหนดระยะเวลาการยุบสภา และตกลงเงื่อนไขในการเจรจาเรื่องอื่น ๆ ต่อไปกันได้สำเร็จ แต่นั่นก็ไม่อาจยุติปัญหาในบ้านเมืองทั้งหมดได้

เนื่องจากรากเหง้าปัญหาแท้จริงอยู่ที่ “ทักษิณ ชินวัตร”

นักวิเคราะห์บางรายอาจมองว่า ปัญหาวิกฤติการเมืองไทย มีการเปลี่ยนแปลงระดับคุณภาพแล้ว ได้ก้าวข้ามพ้นเรื่องของ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว

นั่นคือได้จุดไฟ คู่ขัดแย้งใหม่ ได้แก่ “ไพร่กับระบบอำมาตย์ ได้สำเร็จแล้ว !

จากนี้ต่อไป การต่อสู้ทางการเมืองจะเป็นการต่อสู้ระหว่างไพร่ที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริงกับระบบอำมาตยาธิปไตย

แต่ผู้เขียนเห็นว่า พัฒนาการของความขัดแย้งยังไม่ถึงระดับนั้น

ปัจจัยและเงื่อนไขอันเป็นจริง ที่ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองที่ฝ่าย นปช.ใช้คำว่า “สงคราม” ยืดยาวอยู่ได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับประเด็น “เอา กับไม่เอา ทักษิณ”

ในเมื่อรากเหง้าปัญหาบ้านเมืองยังมิได้เปลี่ยนแปลง “การยุบสภา” จึงไม่อาจยุติปัญหาที่แท้จริงได้ การยุติปัญหาวิกฤติความขัดแย้งในสังคมไทยนั้น ต้องใช้เวลาอีกนาน อย่าคิดเป็นวัน ๆ ขอให้คิดเป็น ปี !

ทนมาได้สี่ปีแล้ว ขอให้อดทนต่อไปอีก

เรื่องที่ควรตระหนักคือ การต่อสู้ของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นั้น “ยุทธวิธีเปลี่ยน แต่ยุทธศาสตร์ยังไม่เปลี่ยน”

แม้ว่าอุณหภูมิการเมืองลดลงพอให้ผู้คนผ่อนคลายได้อีกหลายวัน เมื่อสามตัวแทนแกนนำ กลุ่ม นปช.ผ่านฟ้าพบปะเจรจากับนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดข้อตกลงยุติปัญหากันได้ในการเจรจาสองสามรอบ

เมื่อมีการเจรจากันขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างมีผลได้ผลเสีย

ส่วนฝ่ายไหนจะได้หรือเสียมากกว่ากัน คงเป็นไปตามอคติของผู้ชมเหมือนเดิมนั่นแหละ

การถ่ายทอดสดการพบปะเจรจากันเป็นเรื่องดียิ่ง แต่การสื่อสารเพียงครั้งเดียวนี้ ยังไม่สามารถจะล้างอคติที่ฝังอยู่ในใจผู้คนจำนวนมากได้ในทันทีทันใด

คนไทยเรารับสาร ฟังความข้างเดียวมานานแล้ว

จุดนี้เป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน

รัฐบาลยอมนั่งเจรจากับตัวแทนกลุ่ม นปช.นั้น ทาง “คนเสื้อแดง” จะเฝ้าชมกันหรือไม่ อย่างไร ? ถ้าติดชามรับฟังรับชมอย่างจริงจังก็จะดีมาก

เพราะอาจจะสามารถดึงเอาการต่อสู้ทางการเมือง ที่เคลื่อนใกล้เข้าไปสู่ “สนามรบ” ให้กลับมาสู่ “สนามปกติ” คืออยู่ในกรอบ กฏเกณฑ์ กติกา ระบอบประชาธิปไตยที่ยุติธรรม

การต่อสู้ทางการเมืองจนเป็นวิกฤติมาหลายปีแล้วนี้ มีหลายลำดับชั้น

ปรากฏการณ์ที่ผู้คนเห็นชัดอยู่ขณะนี้ คือกลุ่ม นปช. และพรรคพลังไทยที่โจนเข้าร่วมเต็มตัวฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่ง ยุทธศาสตร์ของ กลุ่ม นปช. คือขับไล่ให้รัฐบาลต้องสละอำนาจ จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วที่สุด ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลคือยืดเวลาให้อยู่เป็นรัฐบาลครบเทอม

ยุทธวิธีของทั้งสองฝ่ายนั้น ย่อมสรรค์มาใช้กันทุกอย่าง ซึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

เช่น เฉพาะหน้านี้สองฝ่ายหันมาใช้ยุทธวิธีพูดกันบนโต๊ะ

แต่เมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความได้เปรียบอย่างเต็มที่แล้ว เราก็อาจจะเห็นการรุกฆาตก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่ม นปช.ผ่านฟ้า นั้น ก็เป็นเพียงการต่อสู้ระดับเปิดเผย คือเป็น “ธง” ให้คนเห็น

เราควรจะมองให้ลึกถึงการต่อสู้เบื้องลึก ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ที่สำคัญคือ ยุทธวิธีและกลศึกต่าง ๆ ที่ก่อเรื่องราวมากมาย อันไม่อาจหาหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวอะไรกับกลุ่ม นปช.และรัฐบาล นั่นได้แก่ การยิงระเบิด โยนระเบิด ที่ขยายเป้าจากหน้าค่ายทหาร, ผู้นำองค์กรอิสระ , มาจนถึงบ้านนักการเมืองที่ไม่ใช่คู่กรณี อย่าง นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นต้น การขว้างระเบิดใส่โรงเรียนเปรม ติณสูรานนท์ สองแห่ง การขว้างระเบิดและยิงใส่ธนาคารกรุงเทพ และการก่อกวนต่าง ๆ อีกมากมาย เหล่านี้เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือโต๊ะการเจรจาระหว่าง กลุ่ม นปช.ผ่านฟ้ากับรัฐบาล

นอกจากรัฐบาลต้องเผชิญกับปัญหา “ก่อการร้าย” ข้างต้นแล้ว รัฐบาลยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ยิ่ง 2 ด้าน คือ 1.กลไกรัฐซื่อสัตย์เชื่อฟังคำบังคับบัญชารัฐบาลเพียงใด 2.แนวร่วมด้านต่าง ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ยังเข้มแข็งเหนียวแน่นเพียงใด เหล่านี้คือจุดที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะปัจจัยเหล่านี้แหละ ที่จะทำให้วิกฤติยืดเยื้อออกไปเป็นหน่วยเวลา....ปี !

28 มีนาคม 2553

ปันหยี

                                                                          ปันหยี


นิทานหรือตำนานเรื่องเกี่ยวกับ “อิเหนา” ในชวานั้น เขานิยมเรียกชื่อว่าพระเอกว่า “ปันหยี” อิเหนาก็เป็นชื่อหนึ่งของพระเอกเหมือนกัน แต่ทางชวาเขานิยมเรียกว่า “ปันหยี” มากกว่า

สำหรับทางเรานั้น ชื่อ “ปันหยี” เป็นชื่อปลอม ใช้ในช่วงที่อิเหนาเที่ยวเตลิดเปิดเปิงไปอย่าง “มะงุมมะงาหรา” คือไม่มีจุดหมายแน่นอน ไปมันเรื่อย ๆ

อิเหนา(ในเรื่องดาหลัง)เที่ยว “มะงุมมะงาหรา” ไป เพราะเสียใจหลังจากนางเกนบุษบาตาย อิเหนาปลอมตนเป็นชาวป่า คือถอดเครื่องทรง “กษัตริย์วงศ์เทวา” แต่งองค์เป็นชาวป่า ใช้ชื่อว่า “ปันหยี” มีกองทัพของตน เที่ยวไปตีชิงบ้านเมืองอื่น ๆ เขาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดไปเสียท่าถูกเขาหลอกจมเรือเดินทะเล กำลังพลพลัดพรายกระจายไป เหลืออิเหนากับพี่เลี้ยงอีกคนเดียว แล้วหลงไปอยู่ใน เมืองแม่หม้าย ทำเอาพี่เลี้ยงของอิเหนาจะเหี่ยวแห้งหมดแรงตาย เพราะผู้หญิง

อิเหนากับพี่เลี้ยงหนีจากเมืองแม่หม้ายได้แล้ว หลงไปถึงเมืองดาหาเมืองของพระเจ้าอา ต้องปลอมตัวเป็น “ดาหลัง” เล่นหนังจนมีชื่อเสียง ได้พบคู่หมั้นที่พ่อ (ท้าวกุเรปัน) หมั้นหมายไว้ให้

สัปดาห์นี้ดูสำนวนกลอนตอน อิเหนาปลอมตัวเป็นปันหยี ไปสำแดงศักดาสักหน่อยครับ

“เมื่อนั้น                                                                         พระสุริย์วงศ์เทวัญอันศักดิ์สิทธิ์

เห็นทหารชำนาญชาญชิด                                             สมคิดพระองค์เจตนา

ครั้นทอดพระเนตรเสร็จแล้ว                                          พระแก้วแปลงองค์เป็นชาวป่า

ไม่ทรงมงกุฎแลชฎา                                                    ที่เคยทรงมาแต่ก่อนนั้น

แล้วสยายพระเกศเกศา                                                ตามเพศชาวป่าชวานั่น

จึงแปลงพระนามตามสำคัญ                                       เป็นปันจุเหร็จเพริศเพรา

ชื่อมิสากุหนุงปันหยี                                                   เหมาะตีลาหราชาวเขา

ที่เศร้าโศกศัลย์ค่อยบรรเทา                                      พระเนาในบัลลังก์คีรี”

อิเหนาปลอมตัวเป็นชาวป่า อาศัยอยู่ในป่าเขา วันหนึ่งท้าวปันจะรากัน เจ้าเมืองปันจะรากัน นำมเหสีและธิดาออกป่า ไปนมัสการอาจารย์(ฤาษี) และถือโอกาสพาธิดาไปประพาสป่า

พี่เลี้ยงของอิเหนาไปเห็นโฉมนางบุษบาส่าหรี ธิดาท้าวปันจะรากันงดงามคล้ายกับนางเกนบุษบา จึงไปรายงานให้ “ปันหยี” ทราบ พอปันหยีมาเห็นโฉมนางบุษบาส่าหรีเข้า ก็ขี่ม้าเข้าไป “ชิงนาง” มาเลย

นับว่า “ห้าว” มากตามประสาวัยรุ่น

“เมื่อนั้น                                                                         ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉาย

แฝงไม้ใบบังแอบกาย                                                    เห็นสายสวาทเพียงบาดตา

เหมือนเกนบุษบาน้องนัก                                              พระอักอ่วนป่วนใจเป็นหนักหนา

สมคำพี่บอกน้องมา                                                      พระรับขวัญกัลยาแล้วถอนใจ

เจ้าเอากำเนิดเป็นบุตรี                                                  ระตูองค์นี้ฤาไฉน

ทั้งพักตรมามารยาทดังวาดไว้                                     เจ้าอยู่ไยในรถนางเทวี

มาไปพลับพลาด้วยพี่ชาย                                           ยังไม่หายโกรธฤานะเจ้าพี่

เพลิงราครุมร้อนดังอัคคี                                             พ้นที่จะหน่วงหนักหักใจ

จำจะประรูกลที่บนรถ                                                  จะเงือดงดอดรักกระไรได้

ถึงระตูจะโกรธพิโรธใจ                                               สุดแต่จะชิงชัยไม่ละกัน

คิดแล้วก็ขับมโนมัย                                                   เข้าไปเคียงรถขมีขมัน

อุ้มองค์บุษบามาพลัน                                              เร่งรีบผายผันทันใด”

ชิงนางครั้งนี้ รอกการรบราฆ่าฟันไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะท่านดาบสอาจารย์ของท้าวปันจะรากัน ห้ามท้าวปันจะรากันไว้ และเตือนท้าวปันจะรากันว่า ปันหยีมิใช่ชาวป่าแต่เป็นวงศ์กษัตริย์วงศ์เทวา

สรุปว่า อิเหนา หรือ ปันหยี ได้เมียคนใหม่ชื่อ นางบุษบาส่าหรี

แต่เท่านั้นยังไม่พอ ปันหยียังเที่ยวยกทัพไปตีเมืองอื่น ไปฆ่าระตูเมืองอื่นเสียอีกหลายคน แล้วก็ได้เมียมาอีกคน ชื่อนางกัติกาส่าหรี

ระหว่างนั้นยังอยู่ในกระบวนทัพ นอนในรถ คืนที่จะไปหานางกิติกาส่าหรี ปันหยีก็บอกกับนางบุษบาส่าหรีตรง ๆ

“เหน็บกฤชอันเรืองฤทธิรอน                               ดังไกรสรออกจากคูหา

เฉิดฉายกรายกรีดดำเนินมา                               ขึ้นยังรถบุษบาทันใด

ครั้นถึงจึงแอบแนบนาง                                      พระหัตถ์ลูบปฤษฎางค์ทรงปราศรัย

ดวงสมรแม่อย่าอ่อนอาลัยใจ                            ทรามวัยจงได้ปรานี

วันนี้ตัวพี่จะขอลา                                             ไปหากัติกาส่าหรี

โฉมยงจงค่อยอยู่ดี                                          มีศรีอย่าละห้อยน้อยใจ

ว่าพลางทางตระโบมโลมนาง                        เชยพักตร์ชมกรางด้วยพิสมัย

แล้วเสด็จจากรถคลาไคล                              เร่งรีบดำเนินไปมิได้ช้า “

อย่าอิจฉาปันหยีเลย มันเรื่องละคร....เท่านั้นแหละครับ

27 มีนาคม 2553

ดาหลัง

                                                                     ดาหลัง


“ดะลัง” ภาษาชวาแปลว่า “หนัง” (หนังตะลุง)

“นายหนัง” หรือศิลปินหัวหน้าวงหนัง เขาเรียกว่า “ป๊ะดะลัง”

ในหมู่บ้านใจกลางเกาะบาหลีที่วัฒนธรรมประเพณีเก่ายังคงมีอิทธิพลมากอยู่นั้น “นายบ้าน” มีวรรณะกษัตริย์ “พราหมณ์”ผู้ทำพิธีทางศาสนา มีวรรณะพราหมณ์ ว่ากันตามฐานะแท้จริงที่ผมเห็น (พ.ศ 2532) นายบ้านมีฐานะสูงกว่าพราหมณ์

หลาย ๆ หมู่บ้านจึงจะมี “ป๊ะดะลัง” ศิลปินใหญ่สักคนหนึ่ง และป๊ะดะลังนี้มีเกียรติยศมีฐานะศักดิ์ศรีสูงกว่านายบ้านเสียอีก ลักษณะที่ศิลปินผู้ประกอบพิธีกรรม (การเล่นหนังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม) มีศักดิ์ฐานะสูงสุดในสังคมนี้ ผมเชื่อว่าเป็นลักษณะพิเศษของสังคมเอเชียอาคเนย์ยุคดั้งเดิม

คำว่า “ดาหลัง” ในเมืองไทย นอกจากหมายถึง “หนัง”(หนังตะลุง)แล้ว ยังเป็นชื่อวรรณคดีที่สยามรับมาจากชวาด้วย วรรณคดี “ดาหลัง” นี้เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “อิเหนาใหญ่”

วรรณคดี “อิเหนาใหญ่” (ดาหลัง) และ “อิเหนาเล็ก” แพร่หลายมาถึงสยามในช่วงปลายยุคกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานชัดเจนในวรรณคดีเรื่อง “บุณโณวาทคำฉันท์” ของพระมหานาค วัดท่าทราย แต่งในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ว่ามหรสพที่เล่นในงานพระพุทธบาทสระบุรีนั้น มีเรื่องิเหนาด้วย

และมีตำนานว่า เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงแต่งบทละครขึ้นองค์ละเรื่อง เป็นเรื่อง “ดาหลัง”และ “อิเหนา”

ในพระราชนิพนธ์บทละครอิเหนา รัชกาลที่สอง ทรงนิพนธ์ว่า

“อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง                สำหรับงานการฉลองกองกุศล

ครั้งกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์                  แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไป”

อันที่จริงบทละครเรื่องอิเหนา สำนวนยุคกรุงศรีอยุธยานั้น ยังปรากฏต้นฉบับอยู่บ้างนิดหน่อย ดังที่ผมเคยนำเสนอในสยามรัฐนานมาแล้ว

พระพุทธยอดฟ้าจุโลกมหาราช รัชกาลที่หนึ่ง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนาใหญ่(ดาหลัง)และเรื่องอิเหนาเล็ก (อิเหนา) พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงวิจารณ์ไว้ว่า

“ควรเชื่อได้ว่าทั้งสองเรื่องนั้น สำนวนเดิมเคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะการฟื้นฟูวรรณคดีก็ดี ราชการงานเมืองก็ดี เป็นการฟื้นฟูตามแบบกรุงศรีอยุธยาทั้งนั้น ท่านไม่น่าจะมีเวลามาคิดแต่งดาหลังขึ้นใหม่แน่”

และพระองค์ทรงวิจารณ์บทละครเรื่อง “ดาหลัง” ว่า “ดาหลัง เป้นกลอนบทละคร ฝีปากปานกลาง ท้องเรื่องสับสนกว่าเรื่องอื่น ๆ “อิเหนา”(เล็ก)เป็นกลอนบทละคร ท้องเรื่องไม่ยุ่งอย่างดาหลัง ฉบับพระราชนิพนธ์รัชกาลที่สอง มีโวหารไพเราะเฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง แม้จะแต่มาแล้วตั้ง 100 ปีก็ยังไม่เสื่อมความนิยมของมหาชน เคยได้รับความยกย่องของราชบัณฑิตยสถานในรัชกาลที่หก ว่าเป็นยอดของกลอนทั้งหลายในเมืองไทยเพียงเวลานั้น ”

(เรื่อง “ดาหลัง” พิมพ์ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยิกาเจ้า วันที่ 22 เมษายน 2499)

แม้ว่าสำนวนกลอนใน “ดาหลัง” จะไม่ไพเราะเท่า “อิเหนา” แต่ก็ควรศึกษาอย่างยิ่งในแง่ของความเป็น “ทางกลอนสมัยอยุธยา”

จะขอยกสำนวนในตอน ระเด่นมนตรี(อิเหนา หรือ ดาหลัง) ครวญถึงนางเกนบุษบาเมียคนแรกของระเด่นมนตรี ที่ถูกท้าวกุเรปัน บิดาของระเด่นมนตรีสั่งฆ่า  เพราะดกรธที่ระเด่นมนตรีไปลุ่มหลงนาง  จนไม่ยอมไปแต่งงานกับธิดาท้าวดาหาทีตนสู่ขอไว้ระเด่นมนตรีพบศพของนางเกนบุษบาในป่าจึงนำศพลงแพหนีหายไป ระหว่างที่อยู่ในแพกับศพนางเกนบุษบา ระเด่นมนตรีคร่ำครวญว่า

๐ เมื่อนั้น                                        ฝ่ายระเด่นมนตรีเรืองศรี

พระเนาในแพศพเทวี                       โศกีครวญคร่ำร่ำไร

บุษบาส่าหรีเจ้าพี่อา                         แต่เราลอยคงคาอันหลั่งไหล

ได้ห้าวันแล้วเจ้าดวงใจ                     เจ้าไม่พาทีด้วยพี่ชาย

เจ้าเคยเชยชวนให้ชูชื่น                   ครั้นรื้อฟื้นคืนคิดก็ใจหาย

พี่สู้เสียสมบัติอันเพริศพราย              พี่มาเอกากายอยู่กลางชล

เห็นวารีรี่เรื่อยหลั่งไหล                   เหมือนดวงชลนัยน์ให้โหยหน

แต่พี่เดียวมาเปลี่ยวทุกข์ทน            จงลุกขึ้นชมชลด้วยพี่ชาย

แม้นเจ้าไม่ม้วยมรณา                    จะชี้ชมมัจฉาอันหลากหลาย

เจ้ามานอนแน่นิ่งไม่ติงกาย             สายสวาทผินหน้ามาพาที

เห็นลมพาคงคาเป็นคลื่นซัด           เหมือนเราพลัดมาจากสวนศรี

เห็นฟองชลลอยล่องชลธี              เหมือนเจ้ากับพี่ลอยแพมา

โอ้ว่าแต่นี้นะอกเอ๋ย                    จะชวดชมชวดเชยเสน่หา

จะชวดสุขเกษมศรีปีดา               จะเปล่าใจเปลี่ยวตาทุกราตรี ๐

7 มีนาคม 2553

กลอนรักของ "คึกฤทธิ์"

                                            กลอนรักของ “คึกฤทธิ์”


๐ นอนเสียเถิดยาหยีพี่จะกล่อม

แม้ว่าพร้อมใจร่วมสโมสร

ต้องยึดเอาบาทวิถีเป็นที่นอน

มีพระพายคลายร้อนเป็นคนพัด

พฤกษาใหญ่กั้นกลางเป็นหลังคา

มีดารานับแสนแน่นขนัด

เป็นประทีปตามไว้ให้เห็นชัด

เสียงรถจัดเหมือนประโคมประโลมใจ

ถึงทุกข์ยากของเราเขาไม่เห็น

แต่เทวายังเป็นพยานให้

สามัคคีให้ตลอดกอดกันไว้

คงจะได้สมมาตรไม่คลาดกัน ๐

(จากหนังสือ คึกฤทธิ์ ปราโมช “ตอบปัญหาหัวใจ” )

“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ท่านเขียนบทกวีไว้ไม่มาก แต่ก็เขียนทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน หนังสือที่เขียนเป็นบทกวีเกือบทั้งเล่มคือ “กษัยธรรม” เป็นงานเขียนล้อเลียนนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ฉบับนี้จะเสนอบทกวีที่เกี่ยวกับเรื่อง ชาย-หญิง ความรัก

บทหนึ่งเขียนตอบเป็นคำฉันท์

ผู้อ่านถามมาว่า

๐ ขอโทษเพราะ “พาหิรกถา”             กรุณากระผมที

คือว่าประดากุลนรี                             นุชน้องประคองตัว

เป็นโสดมิโปรดปุริสร่วม                    บมิรวมมิพันพัว

จักนึกและตรึกหทยกลัว                     ฤ เพราะเหตุพิเศษใด

พรหมันธสรรค์ยุคลเพศ                    ก็วิเศษประจักษ์ใจ

เพื่อการสมานก็และไฉน                  อรฝืนมิชื่นชม

เมื่อเธอมิเออมนสอวย                    ผิจะช่วยก็ขืนข่ม

โปรดตอบผิชอบนิตินิยม                ก็จะเกิดประโยชน์หลาย ๐

“คึกฤทธิ์ ปราโมช”ตอบว่า

๐ เหตุว่าประดากุลนรี                   อรมีหทัยอาย

แม้รีบสนองวจนชาย                    ก็จะเสื่อมจะสิ้นแสง

หัวใจบุรุษวิกลนัก                        ผิวะรักสิร้อนแรง

รักตอบมิชอบมนะระแวง             ชระบอบเสน่ห์นาน

รักใดจะเพริศวิมลเทียบ               ฤจะเปรียบประเมินปาน

“รักตน” สิคือปทสถาน               ปฏิพัทธ์วนิดา

ความรักผิท่วมอุระสตรี              บ่มิมีจะเผยมา

ยอมม้วยเพราะเหตุตฤษณา      ฤ เพราะกลืน “มดีนาล” ๐

“ความรักผิท่วมอุระสตรี            บ่มิมีจะเผยมา”
        มองตาก็รู้ครับว่า ผู้หญิงรักเราหรือเปล่า

พอดีผมเป็นผู้ชายน่ะครับ เลยพูดแทนสตรีไม่ได้ว่า เธอมองตาชายแล้วรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายรักเรา

ผมยังไม่พบงานกวีประเภทสายลม-แสงแดด ของ “คึกฤทธิ์ ปราโมช” เลย

จะเป็นเพราะท่านไม่เขียน หรือว่าเพราะท่านมาเขียนหนังสือเอาตอนเป็นผู้ใหญ่ผ่านวัยมาพอสมควรแล้ว จึงไม่มีกลอนประเภทหวานแหวว

ในเรื่องนิราศร้อน กลอนนิราศเรื่องเดียวของท่าน ท่านเขียนรำพึงรำพันไว้ว่า

๐ นิราศร้อนจรเหนือเมื่อเมษา

ไปนครเชียงใหม่วิไลตา

ขวบเวลาเล่นน้ำยามสงกรานต์

จะเพ้อพร่ำสั่งสุดาน้ำตาตก

ต้องโกหกเพราะไม่มีอยู่ที่บ้าน

ด้วยเลิกร้างโรยรามาช้านาน

กลายเป็นตาลโตนดผู้อยู่ต้นเดียว

รถไฟอกจากกรุงมุ่งสู่เหนือ

สบายเหลือด้วยไม่มีที่จะเหลียว

ไม่มีข้อผูกพันกระสันเกลียว

จึงอาจเที่ยวพักผ่อนหย่อนอารมณ์ ๐

ความรักใน “นิราศร้อน” ถ่ายเทไปสู่ความรักแผ่นดินถิ่นไทย อันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่นิรันดร ท่านเขียนไว้ว่า

๐ ใครอยากให้คนไทยนั้นรักชาติ

ควรจะหาโอกาสให้เที่ยวเตร่

เห็นเมืองไทยเหนือสุดผุดทะเล

ตงจะเหหันจิตคิดคำนึง

ว่าเมืองทองของไทยอันใหญ่หลวง

ควรจะหวงเอาไว้อาศัยพึ่ง

เป็นที่กินที่อยู่จะสู้ตรึง

ไว้จนถึงลุกหลานกาลต่อไป

พิศเพลินภูมิประเทศเขตพายัพ

รู้สึกจับใจจริงยิ่งเมืองไหน

เคยผ่านแล้วแถวถิ่นแผ่นดินไกล

หาเมืองใดที่จะเทียบเปรียบเมืองทอง

ถึงงามตาน่ายลของคนอื่น

ก็ไม่ชื่นเหมือนกับเราเป็นเจ้าของ

เสียงลมพัดน้ำตกวิหคร้อง

เป็นทำนองภาษาไทยไปทั้งนั้น

เห็นป่าไม้เขียวสดจรดขอบฟ้า

มีภูผากั้นอยู่ดูขึงขัน

แม้นมีคู่แล้วจะร่ำพร่ำรำพัน

จะด้นดั้นภูผาไปหานาง ๐

ปิดท้ายด้วยโคลงถามตอบที่ไพเราะ ท่านผู้อ่านเขียนมาถามว่า

“ ลาโง่ตัวหนึ่ง กินหญ้าอยู่ที่ชายป่า ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องเพราะจับใจ อยากจะใคร่ร้องได้บ้าง จึงไปถามจิ้งหรีดว่า

๐ คึกฤทธิ์คิดลึกพ้น ธรรมดา มนุษย์แฮ

เจนจัดจบวิทยา อาจอ้าง

สงสัยเสพโภชนา ใดเล่า ละพ่อ

“ฤาท่านกินน้ำค้าง จึ่งร้องจับใจ” ๐”

“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตอบว่า

“แต่เผอิญจิ้งหรีดตัวนั้นเป็นจิ้งหรีดชนิดที่กินหญ้า เช่นเดียวกับลาทั้งปวง จึงตอบว่า...

๐ สำเนียงสนาะพร้อง             เพียงใด พ่อเอย

เพราะพุดจากหัวใจ                  พวกพ้อง

อาหารเฉกคนไทย                  เขาเสพ กันพ่อ

คือว่า “น้ำลูบท้อง”                 เสพแล้วอิ่มเหลือ ๐