7 มีนาคม 2553

กลอนรักของ "คึกฤทธิ์"

                                            กลอนรักของ “คึกฤทธิ์”


๐ นอนเสียเถิดยาหยีพี่จะกล่อม

แม้ว่าพร้อมใจร่วมสโมสร

ต้องยึดเอาบาทวิถีเป็นที่นอน

มีพระพายคลายร้อนเป็นคนพัด

พฤกษาใหญ่กั้นกลางเป็นหลังคา

มีดารานับแสนแน่นขนัด

เป็นประทีปตามไว้ให้เห็นชัด

เสียงรถจัดเหมือนประโคมประโลมใจ

ถึงทุกข์ยากของเราเขาไม่เห็น

แต่เทวายังเป็นพยานให้

สามัคคีให้ตลอดกอดกันไว้

คงจะได้สมมาตรไม่คลาดกัน ๐

(จากหนังสือ คึกฤทธิ์ ปราโมช “ตอบปัญหาหัวใจ” )

“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ท่านเขียนบทกวีไว้ไม่มาก แต่ก็เขียนทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน หนังสือที่เขียนเป็นบทกวีเกือบทั้งเล่มคือ “กษัยธรรม” เป็นงานเขียนล้อเลียนนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ฉบับนี้จะเสนอบทกวีที่เกี่ยวกับเรื่อง ชาย-หญิง ความรัก

บทหนึ่งเขียนตอบเป็นคำฉันท์

ผู้อ่านถามมาว่า

๐ ขอโทษเพราะ “พาหิรกถา”             กรุณากระผมที

คือว่าประดากุลนรี                             นุชน้องประคองตัว

เป็นโสดมิโปรดปุริสร่วม                    บมิรวมมิพันพัว

จักนึกและตรึกหทยกลัว                     ฤ เพราะเหตุพิเศษใด

พรหมันธสรรค์ยุคลเพศ                    ก็วิเศษประจักษ์ใจ

เพื่อการสมานก็และไฉน                  อรฝืนมิชื่นชม

เมื่อเธอมิเออมนสอวย                    ผิจะช่วยก็ขืนข่ม

โปรดตอบผิชอบนิตินิยม                ก็จะเกิดประโยชน์หลาย ๐

“คึกฤทธิ์ ปราโมช”ตอบว่า

๐ เหตุว่าประดากุลนรี                   อรมีหทัยอาย

แม้รีบสนองวจนชาย                    ก็จะเสื่อมจะสิ้นแสง

หัวใจบุรุษวิกลนัก                        ผิวะรักสิร้อนแรง

รักตอบมิชอบมนะระแวง             ชระบอบเสน่ห์นาน

รักใดจะเพริศวิมลเทียบ               ฤจะเปรียบประเมินปาน

“รักตน” สิคือปทสถาน               ปฏิพัทธ์วนิดา

ความรักผิท่วมอุระสตรี              บ่มิมีจะเผยมา

ยอมม้วยเพราะเหตุตฤษณา      ฤ เพราะกลืน “มดีนาล” ๐

“ความรักผิท่วมอุระสตรี            บ่มิมีจะเผยมา”
        มองตาก็รู้ครับว่า ผู้หญิงรักเราหรือเปล่า

พอดีผมเป็นผู้ชายน่ะครับ เลยพูดแทนสตรีไม่ได้ว่า เธอมองตาชายแล้วรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายรักเรา

ผมยังไม่พบงานกวีประเภทสายลม-แสงแดด ของ “คึกฤทธิ์ ปราโมช” เลย

จะเป็นเพราะท่านไม่เขียน หรือว่าเพราะท่านมาเขียนหนังสือเอาตอนเป็นผู้ใหญ่ผ่านวัยมาพอสมควรแล้ว จึงไม่มีกลอนประเภทหวานแหวว

ในเรื่องนิราศร้อน กลอนนิราศเรื่องเดียวของท่าน ท่านเขียนรำพึงรำพันไว้ว่า

๐ นิราศร้อนจรเหนือเมื่อเมษา

ไปนครเชียงใหม่วิไลตา

ขวบเวลาเล่นน้ำยามสงกรานต์

จะเพ้อพร่ำสั่งสุดาน้ำตาตก

ต้องโกหกเพราะไม่มีอยู่ที่บ้าน

ด้วยเลิกร้างโรยรามาช้านาน

กลายเป็นตาลโตนดผู้อยู่ต้นเดียว

รถไฟอกจากกรุงมุ่งสู่เหนือ

สบายเหลือด้วยไม่มีที่จะเหลียว

ไม่มีข้อผูกพันกระสันเกลียว

จึงอาจเที่ยวพักผ่อนหย่อนอารมณ์ ๐

ความรักใน “นิราศร้อน” ถ่ายเทไปสู่ความรักแผ่นดินถิ่นไทย อันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่นิรันดร ท่านเขียนไว้ว่า

๐ ใครอยากให้คนไทยนั้นรักชาติ

ควรจะหาโอกาสให้เที่ยวเตร่

เห็นเมืองไทยเหนือสุดผุดทะเล

ตงจะเหหันจิตคิดคำนึง

ว่าเมืองทองของไทยอันใหญ่หลวง

ควรจะหวงเอาไว้อาศัยพึ่ง

เป็นที่กินที่อยู่จะสู้ตรึง

ไว้จนถึงลุกหลานกาลต่อไป

พิศเพลินภูมิประเทศเขตพายัพ

รู้สึกจับใจจริงยิ่งเมืองไหน

เคยผ่านแล้วแถวถิ่นแผ่นดินไกล

หาเมืองใดที่จะเทียบเปรียบเมืองทอง

ถึงงามตาน่ายลของคนอื่น

ก็ไม่ชื่นเหมือนกับเราเป็นเจ้าของ

เสียงลมพัดน้ำตกวิหคร้อง

เป็นทำนองภาษาไทยไปทั้งนั้น

เห็นป่าไม้เขียวสดจรดขอบฟ้า

มีภูผากั้นอยู่ดูขึงขัน

แม้นมีคู่แล้วจะร่ำพร่ำรำพัน

จะด้นดั้นภูผาไปหานาง ๐

ปิดท้ายด้วยโคลงถามตอบที่ไพเราะ ท่านผู้อ่านเขียนมาถามว่า

“ ลาโง่ตัวหนึ่ง กินหญ้าอยู่ที่ชายป่า ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องเพราะจับใจ อยากจะใคร่ร้องได้บ้าง จึงไปถามจิ้งหรีดว่า

๐ คึกฤทธิ์คิดลึกพ้น ธรรมดา มนุษย์แฮ

เจนจัดจบวิทยา อาจอ้าง

สงสัยเสพโภชนา ใดเล่า ละพ่อ

“ฤาท่านกินน้ำค้าง จึ่งร้องจับใจ” ๐”

“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตอบว่า

“แต่เผอิญจิ้งหรีดตัวนั้นเป็นจิ้งหรีดชนิดที่กินหญ้า เช่นเดียวกับลาทั้งปวง จึงตอบว่า...

๐ สำเนียงสนาะพร้อง             เพียงใด พ่อเอย

เพราะพุดจากหัวใจ                  พวกพ้อง

อาหารเฉกคนไทย                  เขาเสพ กันพ่อ

คือว่า “น้ำลูบท้อง”                 เสพแล้วอิ่มเหลือ ๐