28 มีนาคม 2553

ปันหยี

                                                                          ปันหยี


นิทานหรือตำนานเรื่องเกี่ยวกับ “อิเหนา” ในชวานั้น เขานิยมเรียกชื่อว่าพระเอกว่า “ปันหยี” อิเหนาก็เป็นชื่อหนึ่งของพระเอกเหมือนกัน แต่ทางชวาเขานิยมเรียกว่า “ปันหยี” มากกว่า

สำหรับทางเรานั้น ชื่อ “ปันหยี” เป็นชื่อปลอม ใช้ในช่วงที่อิเหนาเที่ยวเตลิดเปิดเปิงไปอย่าง “มะงุมมะงาหรา” คือไม่มีจุดหมายแน่นอน ไปมันเรื่อย ๆ

อิเหนา(ในเรื่องดาหลัง)เที่ยว “มะงุมมะงาหรา” ไป เพราะเสียใจหลังจากนางเกนบุษบาตาย อิเหนาปลอมตนเป็นชาวป่า คือถอดเครื่องทรง “กษัตริย์วงศ์เทวา” แต่งองค์เป็นชาวป่า ใช้ชื่อว่า “ปันหยี” มีกองทัพของตน เที่ยวไปตีชิงบ้านเมืองอื่น ๆ เขาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดไปเสียท่าถูกเขาหลอกจมเรือเดินทะเล กำลังพลพลัดพรายกระจายไป เหลืออิเหนากับพี่เลี้ยงอีกคนเดียว แล้วหลงไปอยู่ใน เมืองแม่หม้าย ทำเอาพี่เลี้ยงของอิเหนาจะเหี่ยวแห้งหมดแรงตาย เพราะผู้หญิง

อิเหนากับพี่เลี้ยงหนีจากเมืองแม่หม้ายได้แล้ว หลงไปถึงเมืองดาหาเมืองของพระเจ้าอา ต้องปลอมตัวเป็น “ดาหลัง” เล่นหนังจนมีชื่อเสียง ได้พบคู่หมั้นที่พ่อ (ท้าวกุเรปัน) หมั้นหมายไว้ให้

สัปดาห์นี้ดูสำนวนกลอนตอน อิเหนาปลอมตัวเป็นปันหยี ไปสำแดงศักดาสักหน่อยครับ

“เมื่อนั้น                                                                         พระสุริย์วงศ์เทวัญอันศักดิ์สิทธิ์

เห็นทหารชำนาญชาญชิด                                             สมคิดพระองค์เจตนา

ครั้นทอดพระเนตรเสร็จแล้ว                                          พระแก้วแปลงองค์เป็นชาวป่า

ไม่ทรงมงกุฎแลชฎา                                                    ที่เคยทรงมาแต่ก่อนนั้น

แล้วสยายพระเกศเกศา                                                ตามเพศชาวป่าชวานั่น

จึงแปลงพระนามตามสำคัญ                                       เป็นปันจุเหร็จเพริศเพรา

ชื่อมิสากุหนุงปันหยี                                                   เหมาะตีลาหราชาวเขา

ที่เศร้าโศกศัลย์ค่อยบรรเทา                                      พระเนาในบัลลังก์คีรี”

อิเหนาปลอมตัวเป็นชาวป่า อาศัยอยู่ในป่าเขา วันหนึ่งท้าวปันจะรากัน เจ้าเมืองปันจะรากัน นำมเหสีและธิดาออกป่า ไปนมัสการอาจารย์(ฤาษี) และถือโอกาสพาธิดาไปประพาสป่า

พี่เลี้ยงของอิเหนาไปเห็นโฉมนางบุษบาส่าหรี ธิดาท้าวปันจะรากันงดงามคล้ายกับนางเกนบุษบา จึงไปรายงานให้ “ปันหยี” ทราบ พอปันหยีมาเห็นโฉมนางบุษบาส่าหรีเข้า ก็ขี่ม้าเข้าไป “ชิงนาง” มาเลย

นับว่า “ห้าว” มากตามประสาวัยรุ่น

“เมื่อนั้น                                                                         ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉาย

แฝงไม้ใบบังแอบกาย                                                    เห็นสายสวาทเพียงบาดตา

เหมือนเกนบุษบาน้องนัก                                              พระอักอ่วนป่วนใจเป็นหนักหนา

สมคำพี่บอกน้องมา                                                      พระรับขวัญกัลยาแล้วถอนใจ

เจ้าเอากำเนิดเป็นบุตรี                                                  ระตูองค์นี้ฤาไฉน

ทั้งพักตรมามารยาทดังวาดไว้                                     เจ้าอยู่ไยในรถนางเทวี

มาไปพลับพลาด้วยพี่ชาย                                           ยังไม่หายโกรธฤานะเจ้าพี่

เพลิงราครุมร้อนดังอัคคี                                             พ้นที่จะหน่วงหนักหักใจ

จำจะประรูกลที่บนรถ                                                  จะเงือดงดอดรักกระไรได้

ถึงระตูจะโกรธพิโรธใจ                                               สุดแต่จะชิงชัยไม่ละกัน

คิดแล้วก็ขับมโนมัย                                                   เข้าไปเคียงรถขมีขมัน

อุ้มองค์บุษบามาพลัน                                              เร่งรีบผายผันทันใด”

ชิงนางครั้งนี้ รอกการรบราฆ่าฟันไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะท่านดาบสอาจารย์ของท้าวปันจะรากัน ห้ามท้าวปันจะรากันไว้ และเตือนท้าวปันจะรากันว่า ปันหยีมิใช่ชาวป่าแต่เป็นวงศ์กษัตริย์วงศ์เทวา

สรุปว่า อิเหนา หรือ ปันหยี ได้เมียคนใหม่ชื่อ นางบุษบาส่าหรี

แต่เท่านั้นยังไม่พอ ปันหยียังเที่ยวยกทัพไปตีเมืองอื่น ไปฆ่าระตูเมืองอื่นเสียอีกหลายคน แล้วก็ได้เมียมาอีกคน ชื่อนางกัติกาส่าหรี

ระหว่างนั้นยังอยู่ในกระบวนทัพ นอนในรถ คืนที่จะไปหานางกิติกาส่าหรี ปันหยีก็บอกกับนางบุษบาส่าหรีตรง ๆ

“เหน็บกฤชอันเรืองฤทธิรอน                               ดังไกรสรออกจากคูหา

เฉิดฉายกรายกรีดดำเนินมา                               ขึ้นยังรถบุษบาทันใด

ครั้นถึงจึงแอบแนบนาง                                      พระหัตถ์ลูบปฤษฎางค์ทรงปราศรัย

ดวงสมรแม่อย่าอ่อนอาลัยใจ                            ทรามวัยจงได้ปรานี

วันนี้ตัวพี่จะขอลา                                             ไปหากัติกาส่าหรี

โฉมยงจงค่อยอยู่ดี                                          มีศรีอย่าละห้อยน้อยใจ

ว่าพลางทางตระโบมโลมนาง                        เชยพักตร์ชมกรางด้วยพิสมัย

แล้วเสด็จจากรถคลาไคล                              เร่งรีบดำเนินไปมิได้ช้า “

อย่าอิจฉาปันหยีเลย มันเรื่องละคร....เท่านั้นแหละครับ