18 กุมภาพันธ์ 2553

ทอดแหสามวัน ผึ่งแหสองวัน

                                          ทอดแหสามวัน ผึ่งแหสองวัน


“ทอดแหสามวัน ผึ่งแหสองวัน” เป็นสุภาษิตจีน สอนว่าอย่าเกียจคร้าน จับจด

ก่อนจะเล่าเรื่องจีน ขอเล่าเรื่องที่ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช พูดถึงข้อเสียจากความหลงระเริง หย่อนคลายความมุ่งมั่นในอาชีพการงาน หลังจากที่เคยได้รับความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว

ท่านพูดไว้ในรายการ “เพื่อนนอน” วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ 2505

ตัวอย่างที่ท่านยกมาพูด คือ “โผน กิ่งเพชร” หลังจากได้เป็นแชมป์โลกแล้ว ก็เกิดอาการแบบ “ก่อนได้เป็นแชมป์โลก โผนปลุกครู พอได้เป็นแชมป์แล้ว ครูต้องปลุกโผน”

ท่านเล่าไว้ดังนี้

“โผน กิ่งเพชร ซึ่งเป็นแชมเปี้ยนโลกในทางมวยของไทยแต่เพียงคนเดียวนั้น บัดนี้ก็ได้ไปแพ้ญี่ปุ่นเขามาแล้ว..........

การกีฬานั้นย่อมมีแพ้มีชนะ ซึ่งผู้ใดก็ย่อมจะรู้ แต่ว่าเมื่อแพ้ลงไปแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ อย่างนี้ก็เป็นวิสัยของปุถุชนเช่นเดียวกัน ที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมไม่อยากจะตำหนิติเตียนโผน ถือว่าเป็นการคุยด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ตำหนิติเตียนอย่างใดทั้งสิ้น แต่ว่ามันก็อดที่จะมีความคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อได้อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าวันนี้ ที่เขาลงข่าวการให้สัมภาษณ์ของ ครูนิยม ทองชิตร์ ซึ่งก็เคยเป็นครูพลศึกษาของผมมาเมื่อผมยังเป็นเด็ก ๆ และคำให้สัมภาษณ์ของโผนเองเกี่ยวกับเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงได้พ่ายแพ้ในครั้งนี้ ครูนิยมได้กล่าวอย่างเปิดเผยซึ่งน่านับถือที่สุดว่า ที่โผนแพ้คราวนี้เพราะขาดซ้อม เพราะไม่มีเวลาที่จะฝึกซ้อมได้ทันท่วงที ครูนิยมบอกว่า เมื่อก่นที่โผนจะได้แชมเปี้ยนโลกนั้น เช้ามืดขึ้นมาโผนมาปลุกครูว่าจะ ไปซ้อมกันหรือยัง แต่ในตอนที่ได้เป็นแชมเปี้ยนโลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะขึ้นชกครั้งนี้ ครูต้องเป็นผู้ไปปลุกโผน แล้วเมื่อโผนตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำท่าจะขาดใจตาย นอกจากนั้นครูนิยมของผม ก็กล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อเป็นแชมเปี้ยนเข้าแล้ว โผนก็เที่ยวเตร่ไปตามไนต์คลับบ้าง ที่อื่น ๆ บ้าง แล้วก็ไม่มีเวลาที่จะมาฝึกซ้อมมวยตามที่เขาทำกัน ด้วยเหตุนี้น้ำหนักของโผนก็ลดลงไป กำลังก็อ่อนลงไป แล้วเมื่อได้ซ้อมในระยะเวลาอันสั้นก็เป็นธรรมดาที่จะต้องแพ้เขา ครูนิยมบอกว่านักมวยญี่ปุ่นที่ชนะโผนนั้น ไม่มีน้ำหนักหมัดอะไรน่ากลัว หรือว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือดีเด่นเลิศลอยอะไรเลย เป็นนักมวยธรรมดา ๆ นี่เอง แต่โผนก็ยังแพ้

นี่ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดไว้ว่า คนขนาดครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งเมือง ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วยได้กล่าวออกมาอย่างนี้ ท่านจะต้องกล่าวด้วยความสุจริตเป็นอย่างยิ่ง ท่านก็คงไม่ประสงค์จะตำหนิติเตียนลูกศิษย์ของท่านเอง แต่มันเป็นความจริงทีท่านจะต้องกล่าว ท่านได้บอกด้วยว่า เมื่อก่อนที่จะชกนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องออกข่าวไปว่าโผนฟิตดี แข็งแรงดี คราวนี้ชนะแน่ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ถ้าไปออกข่าวอย่างอื่น ก็เท่ากับไปยอมแพ้เขาเสียแต่แรก มันผิดวิสัยการกีฬา”

ก็เรื่องทำนองนี้แหละครับ ที่ผมเอามาโยงใยเป็นตัวอย่างของเรื่องสุภาษิต “ทอดแหสามวัน ผึ่งแหสองวัน”

เรื่องนี้ผมคัดมาจากหนังสือเรื้อง “108 วิธีคิดดีดี ได้พัฒนาตน” แปลเรียบเรียงโดย คุณทิภาพร เยี่ยมวัฒนา จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์คุณธรรม คุณทิภาพร เธอเป็นนักแปลผู้มีฝีมือคนหนึ่ง ที่เริ่มงานแปลมาตั้งแต่สมัยผมทำงานบรรณาธิการหนังสือแปลจากภาษาจีนให้สำนักพิมพ์ดอกหญ้า

ลองอ่านสำนวนของเธอดูครับ

“ทอดแหสามวัน ผึ่งแหสองวัน

คนที่มีอาชีพทอดแหจับปลา พอทอดแกได้สามวัน ก้เอาแหมาผึ่งเสียสองวัน เป็นปารเปรียบเปรยถึง คนทำอะไรไม่ยืนหยัด ไม่อดทน

ออกไปจับปลาได้ 3 วัน ก็หยุดพัก เอาแกมาผึ่งแดดเสีย 2 วัน ไม่มีความอดทนต่อความเหนื่อยยาก ชีวิตของเขาย่อมยากที่จะอยู่ดีกินดีขึ้นมาได้

โบราณว่าไว้ คนไม่มีความมุ่งมั่นยากจะดำรงอยู่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความมุ่งมั่นก็คือ ความมุมานะบากบั่นที่จะทำให้สิ่งที่ตนคิดฝันได้กลายเป็นความจริง หาไม่แล้วปณิธานที่ตั้งไว้ก็ย่อมสูญเปล่า

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีจิตใจที่ทรหดอดทน ต่อสู้อย่างไม่ท้อถอย จึงจะสร้างผลงานขึ้นมาได้ หากเป็นเช่นสุภาษิตที่ว่า “ทอดสามวัน ผึ่งแกสองวัน” แล้วละก็ ย่อมไม่มีวันทำอะไรได้สำเร็จ ดังนั้นหากคิดจะประสบความสำเร็จก็ต้องแปรความคิดออกมาเป็นการกระทำ ทั้งยังต้องยืนหยัด ที่จะทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ หากขาดจิตใจที่เด้ดเดี่ยวแน่วแน่ยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอยแล้วละก็ ต่อให้กำหนดเป้าหมายไว้สวยหรูเพียงใด มีความทะเยอทะยานสูงส่งเพียงไหน ก็เป็นเพียงวาดวิมานบนอากาศเท่านั้น

ข้อคิดพัฒนาตน คำว่ายืนหยัดอดทน นั้นพูดง่ายทำยาก แต่ไม่อาจเป็นเพราะยากจึงล้มเลิก ไม่ทำต่อ หากเอาแต่ผึ่งแห แล้วจะหวังกินเนื้อปลาได้อย่างไรกัน”

หนังสือเล่มดังกล่าว มีเรื่องราวเตือนใจเพื่อพัฒนาตนทำนองนี้ถึง 108 เรื่อง อ่านแล้วได้รับประโยชน์มากครับ.

15 กุมภาพันธ์ 2553

ขงจื๊อ

                                                                              ขงจื๊อ


พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนตอบปัญหาประจำวัน วันที่ 28 สิงหาคม 2498 คุณ ด.สุวรรณชาติที่ถามมาว่า

“กฎหมายกับศาสนา อันใดสำคัญกว่ากัน ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร ? และถ้าไม่มีศาสนาจะเรียกประเทศนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ได้หรือไม่ ประชาธิปไตยเมืองไทยกับลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียคล้ายกันหรือเปล่าครับ ?”

พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ตอบว่า

“ทั้งกฏหมายและศาสนาก็เป็นข้อบังคับและข้อกำหนดการกระทำของบุคคลเช่นเดียวกัน ชั่วแต่ว่ากฎหมายนั้น ใครทำผิดก็มีคนอื่นมาคอยลงโทษ ส่วนศาสนานั้นใครผิดคนนั้นก็เป็นคนลงโทษตัวเอง บ้านเมืองที่ขาดกฎหมายก็เป็นจลาจล บ้านเมืองที่ขาดศาสนาก็เป็นที่มืด”

เกริ่นเรื่องนี้แล้ว อยากจะเขียนเรื่อง ขงจื๊อ (หรือ ขงจื่อในสำเนียงจีนกลาง)

ขงจื๊อ เกิดก่อนพุทธศักราช 8 ปี หรือก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแปดปีนั่นเอง ท่านเป็นปรมาจารย์ของลัทธิหญู 儒 สั่งสอนระบบจริยศาสตร์และศิลปศาสตร์จนส่งผลสะเทือนต่อคนยุคต่อมาอย่างใหญ่หลวง แต่ลัทธิหญูก็มิใช่ศาสนาอย่างศาสนาเต๋า ศาสนาพุทธ สิ่งที่ขงจื๊อสอน ไม่ใช่ทั้งศาสนาและกฎหมาย ระบบทฤษฎีที่ปราชญ์ลัทธิหญูยุคต่อ ๆ มาหลังจากขงจื๊อแล้ว ก็ไม่ใช่ทั้งกฎหมายและศาสนา แต่ก็มีอิทธิพล กำกับระบบคิดและค่านิยมของชาวจีนยุคศักดินาอย่างฝังลึก และก็มีอำนาจอิทธิพลสูงกว่ากฎหมายเสียอีก เพราะกฎหมายยุคศักดินาจีนนั้น เขียนขึ้นโดยมีลัทธิหญูเป็นอุดมคติเป็นตัวตั้งต้น

ลัทธหญูมีพัฒนาการมาตลอด คำสอนลัทธิหญูหรือลัทธิขงจื๊อ อย่างที่หนังสือทั่ว ๆ ไปเผยแพร่กันอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากการปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุคราชวงศ์ซ่ง (ซ้อง) โดยปราชญ์คนสำคัญชื่อ จูซี

ผมจะยังไม่เขียนถึงลัทธิหญูแนวนั้น

อยากจะกล่าวถึงคำสอนขงจื๊อแท้ ๆ ที่เขาสั่งสอนในตอนเขามีชีวิตอยู่

แนวคิดดั้งเดิมชองขงจื๊อจริง ๆ เป็นความคิดอนุรัก์นิยมที่ต้องการรักษาจริยธรรมแบบเก่า ๆ ดั้งเดิมเอาไว้ ความคิดรวบยอดของท่าน สรุปได้สองคำคือ “จารีตธรรม” 礼 หลี่ และ “มนุสสธรรม” (หรือมนุษยสัมพันธ์ธรรม)仁 เหญิน

หลี่คือจารีตธรรมเนียม ระบบความคิดที่ใช้ จารีตธรรม เป็นเสาหลักในการปกครองสังคมยุคสังคมทาสวางรากฐานมาโดย “จิวกง” (โจวกงต้าน หรือ โจวกง) น้อยชายของ โจวเหวินหวาง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว มีชีวิตอยู่ในราวหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล จารีตธรรมสมัยนั้น เป็นทั้งตัวกำหนด ค่านิยมในสังคม และศักดิ์สิทธิ์เหมือนกฎหมาย ใครละเมิดไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตามจารีต ก็จะถูกลงโทษทางสังคม(คือเสื่อมเสียชื่อเสียง) และถูกลงโทษทางกฎหมายด้วย (ในช่วงที่กฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์)

สังคมในสมัยขงจื๊อนั้น การปกครองเสื่อมทรามลงมาก ขงจื๊อมีแนวความคิดว่า ต้องใช้หลักจารีตธรรมมาฟื้นฟูความสงบสุขในสังคมขึ้น

แล้วจะทำอย่างไร ฟื้นฟูให้สมาชิกในสังคมเคารพหลักจารีตธรรม ขงจื๊อว่า ต้องสั่งสอน คือต้องให้การศึกษา

แต่สิ่งที่ขงจื๊อพยายามสั่งสอนคนในสังคมนั้น มันเป็นเรื่องเก่าแก่หลายร้อยปีแล้ว ชนชั้นปกครองร่วมสมัยกับขงจื๊อจึงไม่ชื่นชมนิยมคำสอนของขงจื๊อ ประมุขแคว้นหลู่ ภูมิลำเนาของขงจื๊อเอง ใช้ขงจื๊อเป็นเสนาบดีบริหารบ้านเมืองได้ไม่นาน ก็ถูกกลุ่มขุนนางเก่าโค่นล้มขับไล่ออกจากอำนาจ ขงจื๊อเดินทางไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ เกือบ 13 ปี ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อเจ้าแคว้นต่าง ๆ หลายแคว้น แต่ก็ไม่มีเจ้าแคว้นใดตั้งขงจื๊อให้เป็นผู้บริหารบ้านเมือง

จนกระทั่งขงจื๊อได้กลับคือสู่ภูมิลำเนา จึงทุ่มเทให้กับการศึกษาและการชำระปรับปรุงคัมภีร์เก่า ๆ

บทบาทที่ยิ่งใหญ่ของขงจื๊อ มิได้อยู่ที่ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงระบบจริยธรรมในยุคของท่าน แต่คือการวางระบบการจัดการการศึกษา เปิดโอกาสให้ไพร่สามัญชนมีโอกาสได้รับการศึกษา ซึ่งมีอิทธิพลจริง ๆ ต่อสังคมในสมัยนั้น และยิ่งมีพัฒนาการดียิ่งขึ้นในยุคต่อ ๆ มา

ถ้าจะเรียกว่า ขงจื๊อเป็นบิดาแห่งการศึกษาของจีน ก็เหมาะสม แม้ว่าในสมัยขงจื๊อเป็นเด็ก ตามอำเภอต่าง ๆ จะมีโรงเรียนที่จัดทำโดยทางการเกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่โรนงเรียนสมัยนั้นเข้าเรียนได้เฉพาะลูกผู้ลากมากดีเท่านั้น ไพร่สามัญชนและทาสไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา

สำหรับแนวคิดทางปรัชญาที่ตัวขงจื๊อ พัฒนาขึ้นเองนั้น คือเรื่องของ “มนุสสธรรม – 仁” เหฯนคำนี้ แต่ก่อนมักแปลเป็น เมตตาธรรม แต่ผมเห็นว่ามันอมความไม่หมด เหฯนมีเนื้อหากว้างกว่าเมตตามาก ดูจากตัวอักษรจีน ข้างซ้ายมือหมายถึงคนหรือมนุษย์ ข้างขวามือหมายถึงเลขสอง รวมความแล้วสื่อถึงคนหลาย ๆ คนอยู่ด้วยกัน คนหลาย ๆ คนอยู่ด้วยกัน ก็เป็นสังคมขึ้นมา และก็จำเป็นจะต้องมีหลักปฏิบัติ มีค่านิยม ที่ยึดถือร่วมกัน ไม่อย่างนั้นก็ตีกันตาย เหญินคำนี้จึงหมายนัยหนึ่งถึงหลักปฏิบัติสำหรับสมาชิกในสังคมมนุษย์ยึดถือร่วมกัน และอีกนัยหนึ่ง ความรักต่อกันและกัน หรือความรักต่อมวลมนุษยชาติ

ในทางระบบปรัชญาแล้ว สิ่งที่ขงจื๊อสร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยตัวท่าน ก็คือ คำสอนเกี่ยวกับ “เหญิน” เท่านั้นเอง

คำสอนอย่างอื่น ๆ เป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังสร้างสรรค์เพิ่มเติมขึ้นภายหลังยุคท่านขงจื๊อ

10 กุมภาพันธ์ 2553

นายมูนโยสนักเงลี้ข้ามชาติ ต้นแบบทักษิณ

นายมูนโยสนักเซ็งลี้ข้ามชาติ


ต้นแบบทักษิณ



เยาวชนทุกวันนี้อาจจะไม่เข้าใจคำว่า “เซ็งลี้” ความหมายมันไม่ค่อยดีครับ

หมายถึงพวกแสวงหากำไร โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมใด ๆ โกหกได้ก็โกหก โกงได้ก็โกง ละเมิดกฎหมายได้ก็ละเมิด หาหนทางใช้อภิสิทธิ์ใช้อำนาจรัฐมาอำนวยผลประโยชน์ส่วนตัว

คนแบบนี้ โลกไม่เคยขาด

ประเทศไทยสมัยมีรับบาลเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เคยจะถูกนักเซ็งลี้-สิบแปดมงกุฏทางธุรกิจชาวสเปนหลอกมาหนหนึ่ง โชคดีที่ คณะรัฐมนตรีรู้ทัน ไม่หลงกลให้มันมาผุกขาดเศรษฐกิจไทย

ผ่านมาหลายสิบปี สังคมไทยเกิดบุคคลชนิดนั้นขึ้นมาคนหนึ่ง นัยว่า “เจ้ามูลเมือง” กลับจากนรกมาเกิดใหม่ เขาเป็นนักเซ็งลี้ระดับสากล เกือบจะผูกขาดเศรษฐกิจไทยได้สำเร็จ แต่มาพลาดตอนปลาย จนต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ

อยู่ต่างประเทศแล้วก็ยังไปเซ็งลี้ สิบแปดมงกุฎในต่างประเทศอีก เช่นไปซื้อสโมสรฟุตบอล ก่อหนี้ก่อสิน แล้วผ่องถ่ายหลากขายคนอื่นต่อ จนประเทศนั้นเขาอาญัติทรัพย์ไปแล้ว ตอนนี้จึงยังเหลือเหยื่อประเภทประเทศล้าหลังบางประเทศเท่านั้น

สำหรับเรื่องนักเซ็งลี้ข้ามชาติยุคเก่านั้นชื่อนายมูนโยส พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าเรื่องคนแบบนี้ไว้รายการ “เพื่อนนอน” วันที่ 13 มิถุนายน 2508 ดังนี้

“เมื่อประมาณสักห้าปีหลังจากที่ได้ตั้งคณะรัฐบาลปฏิวัติขึ้นใหม่ ๆ ได้มีบุคคลคนหนึ่งเป็นชาวเสปน ชื่อนายมูนโยส เป็นที่รู้กันว่าเป็นมหาเศรษฐียิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเข้ามาเมืองไทย แล้วก็ได้เข้ามาเสนอโครงการที่จะพัฒนาประเทศไทย โดยรับมอบหมายจากรัฐบาลไทยทีเดียว แล้วนายมูนโยสก็อ้างว่าจะเอาทุนรอนมามากมายเพื่อจะมาทุ่มเทลงไปในการพัฒนาเมืองไทย จะสร้างโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ แล้วก็จะสร้างอะไรต่ออะไรอีกมาก เป็นรายละเอียดใหญ่โตมากมาย ก่อให้เกิดความตื่นเต้นกันพักใหญ่ในขณะนั้น พูดง่าย ๆ นายมูนโยสก็เหมือนจะขอเข้ามาผูกขาดประเทศไทยเพื่อทำการค้าและการอุตสาหกรรมในขณะนั้น นายมูนโยสได้มาติดต่อกับกระทรวงการคลัง แล้วกระทรวงการคลังก็ได้เสนอขึ้นไปยังคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วก็ไม่รับแผนการของนายมูนโยส นายมูนโยสก็หายไป

ข่าวนายมูนโยสเงียบหายไปหลายปี ก็ไปเป็นข่าวขึ้นในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ว่า นายมูนโยสถูกตำรวจสวิสเซอร์แลนด์จับตัวไปแล้ว และจะดำเนินคดีต่อไปในข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ฉ้อโกง เรื่องราวของนาสยมูนโยสนั้นปรากฏว่านายมูนโยสนั้นมีทุนรอนมากมายจริง คือไปรับเงินมาจากบุตรชายของผู้เผด็จการ ทรูจิลโล แห่งสาธารณรัฐโดมินิกัน ผู้ซึ่งถูกยิงตายไป บุตรชายก็รับมรดกกี่พันล้านก็ไม่ทราบละครับ แล้วก็เอาทุนนั้นไปให้นายมูนโยสออกไปหมุนนอกประเทศ นายมูนโยสได้เงินมาทีแรกผมเข้าใจว่าที่จะมาประเทศไทยก็คงจะได้เงินจำนวนนี้มาอยู่ในกระเป๋าแล้ว แล้วก็นึกถึงประเทศไทยออก ก็เลยมาประเทศไทย แต่เผอิญประเทศไทยเราไม่ยอมรับ นายมูนโยสก็ไปที่อื่นคือไปที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปถึงก็เอาเงินนั้นไปฝากไว้ในธนาคารในประเทศสวิสเซอร์แลนด์สองธนาคาร ซึ่งธนาคารอื่น ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อนายมูนโยสไปติดต่อขอฝากเงิน เขาเห็นไม่ชอบมาพากล เขาก็ไม่รับ แต่ก็มีธนาคารสองธนาคารรับฝากเงินก้อนใหญ่ของนายมูนโยส เสร็จแล้วนายมูนโยสก็ตั้งธนาคารของตนขึ้นเองอีกในกรุงโรม และนอกจากนั้นก็ไปตั้งบริษัทการค้าขึ้นในประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปและปานามา ตลอดจนในเมืองเบรุต ในอัฟริกาเหนือ ในเมืองแอลดอร่า ในประเทศลุกเซมเบิร์ก ก็เป็นประเทศเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนั้นครับ นายมูนโยสก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ไปตั้งบริษัทมีทุนรอนมากขึ้น

นากจากเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากบุตรชายผู้เผด็จการทรูจิลโลแล้ว นายมูนโยสก็ไปหมุนเอาเงินจากที่อื่นมาเหมือนกัน เงินของตนเองบ้าง และเงินที่ขอยืมมาจากที่อื่นบ้าง เมื่อตั้งแบงก์ขึ้นแล้วนายมูนโยสก็ยืมเงินจากแบงก์ที่ตัวเองตั้งขึ้นเอง ตลอดจนแบงก์ที่ตัว

เอาเงินไปฝากนั้นเอง ออกมาทำกิจการเป็นการใหญ่ กิจการของนายมูนโยสนั้นก็คือเอาเงินไปลงทุนในที่ดินในยุโรปเป็นจำนวนมากมายมหาศาลทีเดียว ก็คงจะทำคล้าย ๆ กับที่บอกไว้ในเมืองไทยนี่แหละครับ ต่อมาตลาดที่ดินในยุโรปเกิดซวดเซลง ราคาที่ดินตกต่ำ นายมูนโยสไปลงทุนไว้ในที่ดินมากก็เกิดความหายนะ กิจการก็ไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้ เมื่อเดือนที่แล้วธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์สองธนาคารซึ่งเป็นธนาคารที่นายมูนโยสนำเงินไปฝากนั้น ได้ขออนุญาตรัฐบาลระงับกิจการของตนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อชำระสะสางหนี้สิน แล้วก็เพื่อปรับกิจการให้เข้าสู้เสถียรภาพที่จะเปิดดำเนินการได้ และต่อมาในเดือนพฤษภาคม ธนาคารที่นายมูนโยสเป็นผู้ตั้งขึ้นเองที่กรุงโรม ก็ขอระงับกิจการหนี้สินของตนเป็นเวลาหนึ่งปี โดยขออนุญาตจากรัฐบาลเช่นเดียวกัน ต่อมาอีกเพื่อนของนายมูนโยสซึ่งเป็นประธานธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งนายมูนโยสนำเงินไปฝากไว้ และเป็นกรรมการธนาคารของนายมูนโยสที่กรุงโรม ก็ถูกตำรวจจับในข้อหาฉ้อโกง และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ตำรวจสวิสเวอร์แลนด์ก็จับนายมูนโยสเช่นเดียวกันในข้อหาว่าฉ้อโกง

นอกจากนั้นแล้ว เพื่อนของนายมูนโยสอีกคนหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญมากในสวิสเซอร์แลนด์ คือเป็นกรรมาธิการควบคุมกิจการธนาคารของสวิสเซอร์แลนด์นั้นก็ถูกรัฐบาลสั่งพักจากตำแหน่งนั้น เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสวิสเซอร์แลนด์ได้แถลงต่อหนังสือพิมพ์ว่ามีความสงสัยว่า เพื่อนนายมูนโยส คือประธานกรรมาธิการควบคุมกิจการธนาคารคนนี้อาจปฏิบัติไม่ครบถ้วนหน้าที่ที่รับบาลได้มอบหมายให้ เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของนายมูนโยสก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งซึ่งเคยเข้ามาในเมืองไทย แล้วก็จะมาขอรับมอบจากจากรัฐบาลไทยเพื่อเอาทุนรอนมาลง แล้วผลที่เขาทำไป มันก็กลายเป็นเรื่องฉ้อโกงไปทั้งสิ้น

เมื่อนายมูนโยสมาเมืองไทยนั้น เท่าที่ผมสดับตรับฟังอยู่ ก็ยังรู้สึกว่ามีคนเลื่อมใสนายมูนโยสมากเหมือนกัน เพราะเห็นเงินของเขาเข้า ก็นึกว่าเงินนั้นมันจะมีอำนาจอะไรต่ออะไรให้เกิดขึ้นได้มาก นอกจากจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองแล้วก็ยังจะเกิดผลประโยชน์แก่ตัวบุคคลซึ่งติดต่อกับนายมูนโยสได้บ้างกระมัง ผมก็ไม่ทราบ......”

นักเซ็งลี้ที่ฉกฉวยโอกาสจากผู้อ่อนแอ(ทางการเงิน , ทางปัญญา ฯ) โลกนี้มีอยู่มาก คนไทยก็มีอยู่คนหนึ่ง แต่อยู่เมืองไทยไม่ได้แล้ว ต้องออกไปเที่ยวหาเหยื่อตามประเทศเล็กตามรอยนายมูนโยส แล้วก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากนายมูนโยสนัก.

7 กุมภาพันธ์ 2553

กองทัพเถื่อน

                                                                   กองทัพเถื่อน


คนกลุ่มหนึ่งประกาศตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้กลุ่มของเขามีกำลังครบสามด้าน ได้แก่ พรรค กองทัพ และแนวร่วม แถมยังประกาศแต่งตั้ง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดกองทัพประชาชน ฯ อีกด้วย

ไม่ว่าวันรุ่งขึ้นจะมาแก้ตัวกันว่าอย่างไรก็ตาม

คนกลุ่มนี้ก็ทำให้นายพลหลายสิบคนที่ไปซบพรรคเพื่อไทย เน่าไปทั้งคอกแล้ว !

ใคร ๆ ก็รู้กันอยู่ว่า ยุทธศาสตร์การจัดกองกำลังสามส่วน ได้แก่ พรรค แนวร่วม และกองทัพประชาชนนั้น เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการปฏิวัติสังคมของพรรคการเมืองคอมมิวนิสต์สายนิยมการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยความรุนแรง การที่คนกลุ่มนี้ประกาศใช้ยุทธศาสตร์นี้ จึงต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ได้ว่า เขาต้องการอะไรกันแน่ !

หากอธิบายว่า ทำเพื่อประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการเป็นแบบไหนกัน เป็นประชาธิปไตยแบบที่ นายทักษิณชินวัตร สั่งการได้คนเดียวใช่ไหม ?

หากอธิบายว่า ทำเพื่อสร้างสังคมใหม่

สังคมใหม่ที่พวกเขาต้องการคืออย่างไร แตกต่างจากสังคมปัจจุบันอย่างไร ?

การประกาศตั้งกองทัพประชาชนนี้ มาพร้อมกับคำขู่ว่า ให้เวลารัฐบาล ขอเจรจากับนายทักษิณ ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากเลยเวลานี้ไปแล้ว นายทักษิณจะห้ามกองทัพประชาชนไม่ได้แล้ว หากเลยเวลาเส้นตายนี้ไป กองทัพประชาชนจะทำการรบแตกหัก

จะแตกหักกับใคร ?

อำมาตยาธิปไตยหรือ แล้วรูปธรรมของอำมาตยาธิปไตยเป็นอย่างไร ?

คือฝ่ายตรงข้ามของนายทักษิณใช่ไหม !

พวกเขาจะอธิบายได้อย่างไรว่า กองทัพประชาชนฯที่เขาจัดตั้งกันขึ้น ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัวของนายทักษิณ

นายพลเฒ่าทั้งหลายเอย น่าสังเวชที่ได้ลดตัวตกต่ำจากนายพลแห่งราชอาณาจักรไทยไปเป็นทหารในกองทัพเถื่อน

เสียงขู่ทางโทรศัพท์ของนายพลเถื่อนจากดูไบ ที่ว่าถึงเวลาแตกหักแล้วนั้น ถูกต้องแล้ว สังคมไทยควรจัดการปัญหานี้ให้แตกหักเด็ดขาดเสียที

ตัวอย่างประเทศเฮติที่ปล่อยความขัดแย้งทางการเมือง ต่อสู้กันรุนแรงยืดเยื้อแบบผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมากว่าสิบปี ตั้งแต่ พ.ศ 2533 นั้น ส่งผลร้ายต่อประเทศเฮติอย่างไร เราท่านก็เห็นกันตำตาอยู่แล้ว

สงครามการเมืองในไทย หากปล่อยยืดเยื้อยาวนานต่อไป อนาคตประเทศไทยอาจคล้ายกับเฮติ