11 ธันวาคม 2552

ตามรอยคึกฤทธิ์ 1: เรื่องแปลก ๆ ของอดีตประมุขกัมพูชา

เรื่องแปลก ๆ ของอดีตประมุขกัมพูชา

ในช่วง พ.ศ ๒๕๐๖ ถึง ๒๕๐๘ การแสดงบทบาทในเวทีโลกของสมเด็จ นโรดม สีหนุ ออกจะเป็นเรื่องประหลาด ที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยาก อย่างเช่นท่านลาออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ของราชอาณาจักรกัมพูชา ท่านสนิทชิดใกล้กับจีนแดง ท่านเขียนวิเคราะห์อนาคตว่า ประเทศเวียดนามจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ และประเทศกัมพูชาก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์แน่
เรื่องที่สมเด็จนโรดม สีหนุ วิเคราะห์ว่าประเทศกัมพูชาจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์นั้น ท่านเขียนไว้เองในหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสของท่าน
พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนเล่าไว้ว่า (จากหนังสือ “สถานการณ์รอบบ้านเรา” เรื่อง “สีหนุคนป่วยของกัมพูชา”)
“...ปรากฏว่าท่านสีหนุได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ของท่านซึ่งออกเป็นภาษาฝรั่งเศส เป็นนิตยสารที่ออกในกัมพูชา เป็นบทความซึ่งท่านได้เขียนขึ้นเอง และในบทความนี้ท่านได้วิจารณ์การเมืองไปในทำนองทายทักโชคชาตาของประเทศต่าง ๆ ในอนาคต ประเทศที่ถูกท่านสีหนุทำนายก็คือประเทศเวียดนามเป็นประเทศแรก ท่านได้บอกว่าประเทศเวียดนามนั้นโชคชาตาไม่มีทางออกเสียแล้ว ในที่สุดก็จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งประเทศอย่างแน่นอน......
เมื่อท่านได้ทำนายโชคชาตาอนาคตของเวียดนามแล้ว ท่านก็ได้ทำนายประเทศของท่านเองด้วย ท่านบอกว่าประเทศเขมรของท่านเองนั้น ในที่สุดก็จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน............
นี่เป็นความเห็นของท่านสีหนุ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศเวียดนามใต้จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่นั้น ยังเป็นปัญหาที่เราจะต้องดูกันต่อไปก่อน สำหรับเวียดนามเหนือนั้นไม่เป็นปัญหาเพราะเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นการทำนายทายทักโชคชาตาของเวียดนามเหนือนั้นใคร ๆ ก็ดูได้ เมื่อประเทศหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วก็เป็นไป ส่วนเวียดนามใต้จะเป็นไปหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องไม่แน่ แต่สำหรับประเทศกัมพูชาของท่านสีหนุเองนั้น เราก็เห็นจะต้องเชื่อถือท่านไว้ก่อน เพราะเหตุว่าเมื่อท่านดูชาตากัมพูชาว่า ต่อไปยังไง ๆ ก็จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์นั้น ท่านก็ต้องดูโดยมีหลักเกณฑ์อยู่บ้าง เพราะคนที่จะทำให้กัมพูชาเป็นคอมมิวนิสต์นั้นก็คือตัวท่านสีหนุเอง ซึ่งท่านเป็นผู้ปกครองกัมพูชาอยู่โดยเด็ดขาด แล้วท่านก็ได้ผูกมิตรทั้ง ๆ ที่ท่านได้เรียกตัวท่านเองว่าเป็นกลาง กับจีนแดงอย่างใกล้ชิด...............ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมท่านสีหนุท่านได้ผูกมิตรกับจีนแดงมากมายอย่างนั้น เพราะท่านเองท่านไม่เคยรับว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ และมิหนำซ้ำฐานะของท่านก็ดี เบื้องหลังของท่านก็ดี ไม่น่าจะอำนวยให้ท่านไปรับลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็เห็นจะพอทราบได้แล้ว คือท่านสีหนุท่านเป็นหมอดูที่เชื่อตำราจนเกินไป คือเมื่อดูไปดูมา เกิดไปดูโชคชาตาบ้านเมืองของท่านไป เห็นว่าจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์แน่ ท่านก็เริ่มประจบคอมมิวนิสต์เพื่อเอาตัวรอด เพราะเหตุว่าถ้าหากเมืองกัมพูชาเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว ท่านก็คิดจะเกาะคอมมิวนิสต์กินอยู่ในกัมพูชานั้นเอง ท่านคงจะนึกว่าเมื่อประจบคอมมิวนิสต์ไว้ตั้งแต่บัดนี้ เมื่อต่อไปกัมพูชาตกอยู่ใต้อำนาจคอมมิวนิสต์ เขาก็คงจะเลี้ยงท่าน แล้วก็จะทำให้ท่านมีอำนาจวาสนามีความสุขสบายต่อไป........... นี่ผมก็เดาเอาอย่างนี้
รู้สึกว่า พฤติการณ์ของท่านสีหนุที่ท่านทำตนเป็นศัตรูกับเมืองไทยก็ดี ก็เพราะเหตุว่าไทยเราไม่เข้าข้างคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าท่านเป็นมิตรกับไทยอยู่ ท่านก็กลัวว่าคอมมิวนิสต์เขาจะระแวงท่านได้ ท่านก็ตัดสัมพันธ์กับไทยเสีย และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านก็หาเหตุตัดสัมพันธไมตรีกับเวียดนามใต้เสียอีก โดยอ้างว่ารัฐบาลเวียดนามใต้ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระพุทธศาสนาในเวียดนาม ท่านก็เลยถือเหตุตัดสัมพันธไมตรีเลย ก็เป็นอันว่าเพื่อนบ้านที่ขนาบข้างท่านอยู่ทั้งสองประเทศ คือไทยกับเวียดนามใต้นั้นไม่ได้เป็นพวกคอมมิวนิสต์โดยแน่นอน ถ้าท่านจะคบหาเป็นมิตรกันต่อไป เพื่อนของท่านที่อยู่เบื้องบนก็อาจจะดูท่านในแง่ที่ผิด หรือมิฉะนั้นก็อาจจะไม่วางใจไปว่า ก็ไหนว่ารักกับคอมมิวนิสต์ ทำไมมารักกับเวียดนามมารักกับไทยอยู่ได้........
ทั้งหมดนี้ ทีแรกผมก็งง ๆ เหมือนกัน ไม่ทราบว่าทำไม เพราะเหตุว่าดูเบื้องหลังท่าน ดูชาติกำเนิดของท่าน ดูตำแหน่งฐานะของท่าน นึกไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคอมมิวนิสต์ไปได้ แต่บัดนี้ก็พอจะจับได้แล้วว่า ความจริงแล้วท่านสีหนุท่านก็ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่ว่าท่านเป็นคนที่ออกจะมีเหตุผลมากอยู่ คือท่านมองความจริงออก เพราะเหตุว่าเวลานี้ ท่านมีฐานะที่จะปกครองประเทศกัมพูชา และนับตั้งแต่ท่านปกครองประเทศกัมพูชานั้น ก็ไม่ปรากฏว่ากัมพูชานั้นได้ดีขึ้นอย่างไรเลย ท่านก็พยายามทำอะไรต่ออะไรหลายอย่างที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่ผลก็ไม่ปรากฏตามที่ท่านปรารถนา ก็เห็นจะเป็นเพราะท่านขาดความชำนาญ ขาดสรรถภาพในการปกครอง และอีกอย่างหนึ่งท่านทรงชอบที่จะปกครององค์เดียว คนอื่นมาช่วยท่านก็ไม่ยอม ไม่ยอมฟังเสียงใคร ไม่ยอมฟังความเห็นใคร บ้านเมืองมันก็เสื่อมโทรมลงเรื่อย ผู้คนก็ยากจนลง ทีนี้ท่านก็มีสติปัญญาพอที่จะทรงทราบได้ว่า บ้านเมืองที่มีความเสื่อมลง มีแต่ความยากจนลงนั้น ในที่สุดมันก็จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อท่านปกครองบ้านเมืองให้อยู่ในสภาพเช่นนั้น ท่านก็เลยใช้เหตุผลอนุมานต่อไปว่า ประเทศกัมพูชาของท่านนั้น อย่างไรก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์โดยแน่นอนไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เมื่อท่านคิดได้อย่างนั้นแล้วก็คงปลงตก คือไม่พยายามที่จะแก้ไขอะไรอีกต่อไป เท่ากับว่าบรรทมงอหัตถ์งอพระบาท รอให้กัมพูชาเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ คือว่าไหน ๆ มันก็จะเป็นแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไป แต่ว่าสำหรับพระองค์เองนั้น ท่านก็ต้องวางแผนเพื่อที่จะเอาพระองค์ท่านเองรอด กล่าวคือต้องทำให้ตัวท่านเองอยู่ในฐานะที่คอมมิวนิสต์เขาไม่รังเกียจ เป็นต้นว่า เคยเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ก็ลาออกมันเสีย ออกมาเป็นประมุขอะไรลอย ๆ อยู่ ถึงคอมมิวนิสต์เข้ามาก็พอจะอ้างได้ว่า ฉันไม่ใช่เจ้าไม่ใช่นาย ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอะไรนี่ ก็อย่างหนึ่งละ นอกจากนั้นก็สวดสรรเสริญคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนแดงวันละสามเวลาอย่างที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ ๆ ส่งลูกไปเรียนที่ปักกิ่ง คือว่าถ้าเผื่อคอมมิวนิสต์ไม่ชอบหน้าตัวเอง บางทีจะเอ็นดูลูกเอ็นดูเต้า ก็เห็นจะพออาศัยลูกเป็นตัวแทนหรือเป็นสื่อขอให้เขาละเว้นได้บ้าง และวิธีการอื่น ๆ ท่านก็อาจจะมีอีกมากซึ่งเราไม่รู้ได้ การที่ท่านได้เขียนลงหนังสือพิมพ์โดยเปิดเผยให้คนได้อ่านทั่วโลก ทำนายบ้านเมืองของท่านเองว่า จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์อย่างแน่นอนนั้น ก็เห็นจะแปลว่าท่านเองก็หมดห่วงแล้ว ”
( ๒๖ กันยายน ๒๕๐๖)