สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (3)
เกร็ดประวัติของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีมากครับ แต่ที่ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเขียนเล่าไว้นั้น ค่อนข้างจะเป็นเรื่องชั้นยอด
เมื่อวานเสนอเนื้อความจาก “สยามรัฐหน้า ๕” ฉบับวันที่ 12 กันยายน 2511 เนื้อความในคอลัมน์วันนั้นยังไม่จบครับ
เชิญอ่านตอนต่อไปครับ
.................................
“สมเด็จฯทรงมีศิษยานุศิษย์มากมาย ประมาณไม่ได้ ทุกคนก็คงจะยืนยันได้ว่าสมเด็จฯทรงมีความสามารถเป็นอัจฉริยะในอันที่จะทำให้บุคคลได้ความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้า
แต่สมเด็จฯทรงมีวิธีสอนธรรมอย่างอื่นอีก และทรงปฏิบัติองค์ให้ผู้อื่นเห็นธรรมได้เนืองนิตย์
เป็นต้นว่าธรรมคือความไม่ประมาท
สมเด็จฯเสด็จกลับจากหัวหิน ผมก็ไปเฝ้าเยี่ยมในเย็นนั้น
ที่ปากประตูกุฏิมีต้นอะไรแค่คืบใส่กระป่องนมวางอยู่
ผมถามสมเด็จฯว่าต้นอะไร
ท่านบอกว่า “ต้นพยอมว่ะ สมภารวัดหัวหินท่านให้กันมา”
“โอ้โฮ” ผมว่า
“ทำไมโอ้โฮ ?” สมเด็จฯถาม
“ก็ต้นพะยอมมันต้องใช้เวลาถึงสี่สิบหรือห้าสิบปีตั้งแต่ปลูกจึงจะโตออกดอกได้ สมเด็จแก่จะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว จะไปได้ดูดอกมันทันอย่างไร”
“อย่างนั้นหรือ” สมเด็จฯว่า “เอ็งว่ากี่ปีนะ”
“ห้าสิบปี”
สมเด็จฯตะโกนเรียกเวยยาวัจกรลั่นกุฏิ พอเวยยาวัจกรมาเฝ้าแล้วก็รับสั่งให้เอาต้นพะยอมแค่คืบนั้นไปหาที่ปลูกทันที อย่าให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว
“ไอ้นี่มันบอกว่าต้องปลูกถึงห้าสิบปี ต้นพะยอมมันจึงจะออกดอก ต้องรีบปลูกเร็ว ๆ อย่าให้เสียเวลา ลุแก่ความประมาทไม่ได้”
ตั้งแต่นั้นมามีต้นอะไรจะปลูก ผมก็รีบปลูก มีอะไรที่จะต้องทำ ผมก็รีบทำให้เร็วที่สุดที่จะเร็วได้ ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่ง ลุแก่ความประมาทอีกเลย
ต้นพะยอมที่วัดบวรฯได้ยินใครบอกว่าออกดอกแล้ว ความจริงก็ม่ถึงห้าสิบปีหรอก
วันดีคืนดีก็เอาสมเด็จไปผ่าท้อง ตัดลำไส้ซ่อมเครื่อง แล้วก็เย็บท้องสมเด็จฯปิดไว้ใหม่
ผมไปเยี่ยมสมเด็จฯที่โรงพยาบาล ทูลถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านบอกว่า
“รู้อยู่แล้วว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ รู้อยู่แล้วว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ชาตัวตนและเป็นทุกข์ แต่ทั้งรู้อย่างนั้น มันก็ยังเจ็บจริงโว้ย”
เรื่องของสมเด็จฯยังไม่หมด วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน”
(สยามรัฐหน้า๕ วันที่ 12 กันยายน 2511)
ในคอลัมน์ “สยามรัฐหน้า ๕” วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 13 กันยายน อาจารย์หม่อมก็เขียนเล่าเรื่องสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ต่อดังนี้
“วันนี้ต้องขอพูดเรื่องสมเด็จฯวัดบวรฯ ต่อไปอีก
ได้เล่าถึงเรื่องทีท่านสอน อปปฺมาทธรรม ให้แก่ผมมาแล้ว เรื่องต่อไปเกี่ยวกับความไม่โลภ
มีพระมหาองค์หนึ่งบวชอยู่วัดบวรฯ เป็นพระมาจากต่างจังหวัดและยากจนมาก เมื่อถึงเวรจะขึ้นไปอยู่ปฏิบัติสมเด็จฯ ท่านมหาก็นุ่งห่มจีวรที่เก่าขาดขึ้นบนกุฏิสมเด็จฯเสมอ เพราะท่านมหามีอยู่เท่านั้นจริง ๆ หลายครั้งเข้าสมเด็จฯท่านก็เกิดเมตตา จึงประทานผ้าไตรใหม่ให้ท่านมหาชุดหนึ่ง บอกว่าให้เอาไปใช้ได้
ท่านมหาก็มีไตรจีวรใหม่ครองกับเขาบ้าง
พระภิกษุอีกองค์หนึ่งซึ่งไม่ยากจนขาดแคลนได้เห็นท่านมหาได้ประทานไตรจากสมเด็จฯก็เกิดอยากได้ประทานไตรขึ้นมาบ้าง ถึงเวลาที่พระองค์นั้นต้องขึ้นไปอยู่เวรปฏิบัติสมเด็จฯ ท่านก็เลือกเอาแต่จีวรเก่า ๆ ขาด ๆ ครองขึ้นไปทุกครั้ง
สมเด็จฯได้ทอดพระเนตรเห็นก็นิ่งอยู่ ไม่รับสั่งว่าอะไรหรือทรงทำอะไร
แต่พระองค์นั้นก็มิได้เลิกความพยายาม ยังคงนุ่งห่มไตรจีวรที่เก่าและขาดขึ้นไปบนกุฏิสมเด็จฯเสมอเป็นเวลานานพอดู
วันหนึ่งสมเด็จฯท่านเดินไปที่ตู้ แล้วหยิบเข็มกับด้ายมายื่นให้พระองค์นั้น แล้วบอกว่า
“คุณเอาไปเย็บจีวรเสียบ้างซี”
(สยามรัฐหน้า๕ วันที่ 13 กันยายน 2511)