12 ธันวาคม 2552

ตามรอยคึกฤทธิ์ 2 : สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์(1)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (1)

ผมเคยแนะนำหนังสือดี เรียบเรียงโดย “มหาศิลป์ โหรพิชัย” เรื่อง “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์” ซึ่งเพิ่งออกวางตลาดมาประมาณเดือนหนึ่งแล้ว
วันก่อนบังเอิญพบท่านพี่ “มหาศิลป์” ที่ร้านสกายไฮน์ ข้างสยามรัฐ ก็เลยนั่งเสวนากันหลายชั่วโมง คุยกันถึงเรื่องที่ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนเล่าเรื่องสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ไว้ ผมก็เลยนำเสนอเสียเลยสามชิ้น ดังนี้
ชิ้นแรก อาจารย์หม่อม เขียนเรื่องที่ท่านไปตะโกนเรียกข้างหูจนสมเด็จฯ ท่านทรงฟื้นคืนความรู้สึกขึ้นมา
“ผมเองเคยมีประสบการณ์แปลกในเรื่องนี้
ครั้งหนึ่งได้รับข่าวว่า อุปัชฌาย์ของผมคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ กำลังจะสิ้นพระชนม์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผมก็รีบวางการงานทั้งหมดและรับไปที่นั่น
จะไปดูใจอาจารย์ ว่ายังงั้นเถิด
พอไปถึงก็เห็นท่านนอนเงียบหลับตาสนิท ชีพจรก็ไม่มี หมอบอกว่าท่านหายไปสิบแปดชั่วโมงแล้ว แต่ที่ยังรู้ว่าท่านยังไม่สิ้นพระชนม์ก็เพราะท่านยังอ่อนและยังอุ่นอยู่บ้าง
ตอนนั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท และได้ทรงพระมหากรุณาเสด็จฯมาเยี่ยมพระอาการ และประทับอยู่ข้างนอกห้องประชวรแล้ว
หมอเอาเข็มฉีดยามาจิ้มที่แขนสมเด็จ ฯ แล้วทูลถามที่ข้างพระกรรณท่านด้วยเสียงธรรมดาว่า
“สมเด็จ พ่ะย่ะค่ะ ทรงรู้สึกเจ็บบ้างไหม”
หมอทำอยู่อย่างนั้นสองสามครั้ง ท่านก็นอนเฉย ผมจึงบอกว่าหมอว่า ถึงตอนนี้เข้าขั้นปรมัตถ์แล้ว อย่ามัวไปใช้มารยาทหรือราชาศัพท์กับท่านอยู่เลย ต่อกันไม่ถึงหรอก
ผมเอาเอง ถ้าไม่ฟื้นก็หมดทางกันละ
ว่าแล้วผมก็จับแขนท่านแรง ๆ แล้วตะโกนที่หูของท่านกึกก้องไปทั้งโรงพยาบาลว่า
“สมเด็จ ! สมเด็จ ! หายไปไหนนั่นน่ะ กลับมาก่อนเหอะ !ในหลวงเสด็จมาประทับอยู่นอกห้องแล้ว !”
ท่านก็ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าผม ท่านก็รับสั่งว่า
“เอ็งเสือกมาทำไมอีกล่ะ”
เพราะท่านทรงเมตตาผมมาก
ผมลงกราบรับพรท่าน แล้วท่านก็ลุกขึ้นนั่ง บอกพระที่อยู่ในห้องว่าอยากกินหมากสักคำ พระก็หัวเราะบอกว่าหายแล้ว และหาหมากมาถวาย
พอท่านทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ท่านก็ห่มผ้าเรียบร้อยและนั่งอยู่บนเตียง
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเข้ามา ท่านก็ถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวด้วยเรื่องต่าง ๆ เป็นปกติ
อีกสองสามเดือนต่อมา ผมไปเฝ้าท่าน ทูลถามว่าวันนั้นท่านหายไปไหนมาตั้งสิบแปดชั่วโมง ชีพจรก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ท่านตอบว่า
“ตัวเป็นกับตัวตายมันเป็นเส้นสองเส้น มีขนาดเท่านิ้วก้อย เวลายังมีทุกข์อยู่มันก็อยู่ห่างกัน แต่ถ้าพอมันทับกันได้เป็นเส้นเดียวกันก็สิ้นทุกข์”
ผมบอกว่า เออ ! สมเด็จทำเหมือนกับเล็งกล้องถ่ายรูปไลก้า แล้วยังไง
ท่านตอบว่า “ของข้ามันกำลังจะทับกันเป็นเส้นเดียวดีอยู่แล้ว พอดีเอ็งมาร้องเอะอะ สิ้นสมาธิ เส้นมันก็เลยแตกจากกัน ข้าก็เลยเดือดร้อนมาจนถึงเดี๋ยวนี้
ผมก็ทูลว่า ไม่รู้นี่ว่าสมเด็จฯ กำลังจะหาโฟคัส สงสัยก็ตะโกนถามดู
ต่อมาอีกสองปี ผมได้ข่าวว่าท่านกำลังจะสิ้นพระชนม์อีก รับไปเฝ้า เห็นหมอเขาต่อสายไว้เต็มองค์ ดูไปเหมือนถังประปา ไม่ใช่สมเด็จอุปัชฌาย์ของผมเสียแล้ว
และผมก็รู้ว่าท่านตั้งโฟคัสของท่านให้เส้นทับกันเรียบร้อยแล้ว
ผมก็ไม่ตะโกนเรียกท่านอีก
เพราะถังประปาที่หมอต่อท่อไว้นั้น ถึงจะตะโกนเรียกก็คงไม่ขานรับ”
(สยามรัฐหน้า ๕ ฉบับวันที่ 11 กันยายน 2511)
...................................
ในคอลัมน์วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 12 กันยายน 2511 อาจารย์หม่อมท่านก็เขียนถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ต่อไปดังนี้
“เมื่อวานได้เขียนถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดบวรฯ คือกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เข้าหน่อยหนึ่ง วันนี้มานึกดูเห็นยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จฯองค์นั้นอีกมาก จึงคิดว่าควรจะเขียนลงไว้เท่าที่นึกออก และถ้านึกออกอีกในโอกาสต่อไป จะเขียนต่อไปอีก
สมเด็จฯท่านเป็นพระแท้ ถึงจะบริบูรณ์ด้วยสมณศักดิ์และลาภอดิเรกต่าง ๆ ตามฐานะของท่าน ซึ่งมีคนเคารพนับถือมากมาย ท่านก็มิได้ไยดีกับสิ่งเหล่านั้น”
( สยามรัฐหน้า ๕ ฉบับวันที่ 12 กันยายน 2511)