13 ธันวาคม 2552

ตามรอยคึกฤทธิ์3:สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์(2)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (2)
เริ่มไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน คือเรื่องราวที่ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เหตุมันเริ่มตั้งแต่ ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์” เรียบเรียงโดย “มหาศิลป์ โหรพิชัย” ที่เพิ่งพิมพ์เสร็จเมื่อสักเดือนกว่า ๆ ในหนังสือเล่มนี้ “มหาศิลป์” นำเรื่องที่ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนไว้มาประกอบด้วย แต่ผมรู้สึกว่ายังนำมาไม่หมด ผมจึงค้นหาจนพบอีกบางบท ก็เลยนำมาเสนอในคอลัมน์นี้ไว้เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่สนใจได้เก็บไว้ต่อไป
อ่านต่อจากฉบับวันก่อนได้เลยครับ
.................................
“จำได้ว่าในวันที่ประกาศตั้งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระราชพิธีหนึ่งในพระบรมมหาราชวัง (จะเป็นเฉลิมพระชนมพรรษา หรือฉัตรมงคลก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีพระราชพิธีตั้งสมเด็จพระสังฆราชโดยเฉพาะ) เด็กลูกศิษย์วัดกลุ่มหนึ่งที่ตามพระราชาคณะเข้าไปในวัดได้จับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่ข้างนอก
เด็กคนหนึ่งถามขึ้นว่า “สังฆราชองค์ใหม่นี้ชื่ออะไรโว้ย?”
ทันใดก็มีเสียงห้าว ๆ ตอบมาจากข้างหลังว่า “ชื่อชื่นโว้ย !”
งานพระราชพิธีเสร็จลงแล้ว สมเด็จฯท่านออกจากพระที่นั่ง เดินมาตามลูกศิษย์ของท่านจะกลับวัด บังเอิญมาได้ยินปุจฉาของเด็กเข้า ท่านก็เลยตอบให้
เพราะชื่อจริงของท่าน คือ ม.ร.ว ชื่น นพวงศ์
สมเด็จฯท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ๆ อยู่ สอบเปรียญได้แล้วเป็นมหาชื่น ท่านก็อยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นเจ้าอาวาสอยู่
สมเด็จท่านเล่าว่า สมเด็จพระมหาสมณะทรงกวดขันท่านมาก ทำผิดอะไรเล็กน้อย หรือไม่พอพระทัยขึ้นมาเมื่อไร ก็เกรี้ยวกราดเอาแรง ๆ เสมอ ท่านเบื่อหน่ายขึ้นมาจึงกราบทูลสมเด็จพระมหาสมณะว่า ท่านจะขอลาสึก สมเด็จพระมหาสมณะได้ทรงฟังแล้วก็นิ่งอยู่ มิได้ตรัสว่ากระไร
ฝ่ายสมเด็จฯเมื่อกราบทูลไปแล้วก็ไปหาฤกษ์สึก แล้วก็ให้โยมไปเตรียมผ้านุ่งมาไว้หนึ่งผืน เสื้อราชปะแตนหนึ่งตัว อีกสองวันจะสึก
เย็นวันหนึ่งก่อนที่จะถึงฤกษ์สึก พระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราชเสด็จ ฯ มาที่วัดบวร ฯ เพื่อทรงเยี่ยมสมเด็จพระมหาสมณะ ครั้นแล้วก็เสด็จลงจากตำหนักสมเด็จพระมหาสมณะ ตรงมาที่กุฏิของท่าน
เสด็จ ฯ มาถึงแล้วก็ทรงยืนอยู่ที่หน้าประตูกุฏิมิได้เสด็จ ฯ เข้ามาข้างใน สมเด็จฯเล่าว่า พอเห็นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯมาที่กุฏิก็ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะไม่เคยเสด็จ ฯ มาแต่ก่อน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถูก ก็นั่งรับเสด็จอยู่ในกุฏิ จะเชิญเสด็จฯเข้ามาก็พูดไม่ถูก
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรับสั่งว่า “ได้ยินว่าคุณจะสึกหรือ ?”
สมเด็จฯ ก็ถวายพระพรรับว่าจริง
มีกระแสรับสั่งต่อไปว่า “ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่อยากจะบอกให้รู้ว่า คนอย่างคุณนั้นบวชเป็นพระแล้วหายาก ถ้าสึกออกมาเป็นฆราวาสก็หาง่าย”
“กันก็เลยไม่สึก” สมเด็จฯท่านว่า “ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านต้องรู้ดีกว่าเราว่าอะไรหายาก อะไรหาง่าย”
“แล้วยังไง” ผมถาม
“กันอยากเป็นคนหายากว่ะ” สมเด็จ ฯ ตอบ
“แล้วผ้านุ่งกับเสื้อราชปะแตนล่ะ ?”
“กันเลยให้พระยาเสนาสงครามน้องชายเขาไป”
สมเด็จท่านบวรตั้งแต่เป็นเณร และอยู่ในผ้าเหลืองมาจนสิ้นพระชนม์ วันดีคืนดีมียายชีคนหนึ่งมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวใต้ถุนกุฏิท่านที่วัดบวรฯ
ยายชีนั้นเรียกสมเด็จฯว่าเสด็จพ่อ
ผมก็ให้สงสัยเป็นกำลังอดรนทนไม่ไหวต้องขึ้นไปกราบทูลถามว่า
“ก็ไหนสมเด็จฯรับสั่งว่าบวชตั้งแต่เป็นเณร แล้วทำไมมีลูกสาวโต ๆ อย่างนี้เล่า ?”
“ชาติก่อนโว้ย” สมเด็จบอก “ยายชีแก่ระลึกชาติได้ แกบอกว่าชาติก่อนแกเป็นลูกสาวของเรา”
“แล้วสมเด็จเชื่อหรือ ?”
“ก็เรามันระลึกชาติไม่ได้ จะไปเถียงแกยังไง แต่มันมีแปลกอยู่นิดเดียวเท่านั้น แกบอกว่าชาติก่อนเราอยู่บ้านริมถนนทรงวาด”
“แล้วยังไง”
“ก็ไอ้ถนนทรงวาดนั่น เขาเพิ่งตัดเมื่อกันโตแล้วในชาตินี้นี่หว่า”
(สยามรัฐหน้า ๕ วันที่ 12 กันยายน 2511)